ข่าว

"โควิด" ระทึกโลก สธ.เฝ้าระวัง 7 ปท.เสี่ยง

"โควิด" ระทึกโลก สธ.เฝ้าระวัง 7 ปท.เสี่ยง

24 ก.พ. 2563

"โควิด" ระทึกโลก สธ.เฝ้าระวัง 7 ปท.เสี่ยง "โสม" ดับแล้ว 4 "อิตาลี" ปิดเมือง

 

               “เกาหลีใต้” ยกระดับเตือนภัย “โควิด-19” ระดับสีแดงสูงสุด หลังเสียชีวต 4 ราย ติดเชื้อพุ่งกว่า 550 คน “ซัมซุง” ปิดโรงงานพบพนักงานติดไวรัส ส่วน “อิตาลี” ปิดเมืองระบาด ด้านจีนตายเพิ่มเป็น 2,442 ราย ติดเชื้อกว่า 7.6 หมื่นคน ขณะที่ สธ.เผยหญิงจีนหายป่วยกลับบ้านได้อีกราย แนะปชช.เดินทางจากพื้นที่ระบาด 7 ประเทศ รวมทั้งมาเก๊า-ฮ่องกง กักตัว 14 วันดูอาการ

 

อ่านข่าว สธ.เผยข่าวดี ป่วย "โควิด-19" กลับบ้านเพิ่ม

 

               เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ สถานการณ์ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ในประเทศเกาหลีใต้ทวีความรุนแรงขึ้น สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนมีทั้งสิ้นกว่า 25 ประเทศ ทั้งในเอเชีย ตะวันออกกลาง และยุโรป

 

               โดยเกาหลีใต้มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย ทำให้เพิ่มขึ้นเป็น 4 ราย และพบผู้ป่วยเพิ่มอีก 123 ราย ในจำนวนนี้ 2 ใน 3 เป็นผู้ป่วยที่คาดว่าติดเชื้อมาจากโบสถ์ชินชอนจี ในเมืองแทกู ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในเกาหลีใต้มีทั้งสิ้น 556 ราย

 

               ด้านประธานาธิบดีมุน แจ-อิน ของเกาหลีใต้ แถลงในกรุงโซลว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 มาถึงจุดพลิกผันขั้นรุนแรงแล้ว และในช่วง 2-3 วันต่อจากนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ทั้งนี้รัฐบาลจะเพิ่มความเข้มข้นด้วยการยกระดับเตือนภัยจาก “สีส้ม” เป็น “สีแดง” ซึ่งเป็นระดับสูงสุด

 

               ขณะเดียวกันรัฐบาลกลางและทางการท้องถิ่นจะไม่ลังเลที่จะใช้มาตรการเข้มงวดที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพื่อยับยั้งโรคระบาดรุนแรงนี้โดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดทางกฎหมาย

 

               ขณะที่ ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ บริษัทผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ของโลกสัญชาติเกาหลีใต้ เผยว่า ในวันนี้พบผู้ติดเชื้อหนึ่งรายที่โรงงานผลิตอุปกรณ์มือถือของบริษัทในเมืองกูมิ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ส่งผลให้บริษัทต้องสั่งปิดโรงงานดังกล่าวและจะเปิดในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งแยกตัวพนักงานคนอื่นๆ ที่ติดต่อกับผู้ติดเชื้อเพื่อกักกันโรคแล้ว

 

               ทั้งนี้โรงงานของซัมซุงในเมืองกูมิผลิตสมาร์ทโฟนคิดเป็นส่วนน้อยจากการผลิตทั้งหมดของซัมซุง และส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศเท่านั้น ขณะที่การผลิตสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ของซัมซุงอยู่ในเวียดนามและอินเดีย

 

               ส่วนสถานการณ์ในอิตาลีพบผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 79 คน และเสียชีวิตแล้ว 2 คน เป็นชายอายุ 78 ปี ในแคว้นเวเนโต ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ และมีเมืองเวนิสเป็นเมืองเอก และหญิงอายุ 77 ปี ในแคว้นลอมบาร์เดียซึ่งอยู่ใกล้กัน และมีเมืองเอกคือเมืองมิลาน

 

               โดยนายจูเซปเป คอนเต นายกรัฐมนตรีอิตาลี แถลงถึงสถานการณ์ว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้ไม่สามารถเดินทางออกนอกเขตได้เช่นเดียวกับบุคคลภายนอกซึ่งจะไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่ได้ในระยะนี้
 

               ด้านรัฐบาลอิหร่าน ประกาศว่าตรวจพบผู้ติดเชื้อใหม่อีกอย่างน้อย 10 คน และเสียชีวิตเพิ่มอีก 2 คน รวมมีผู้ติดเชื้อรวม 29 คน และเสียชีวิตรวม 6 คนแล้ว

 

               ขณะที่คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติของจีน ได้แจ้งยอดผู้เสียชีวิตในประเทศจีน เพิ่มขึ้นเป็น 2,442 ราย โดยเสียชีวิตเพิ่มอีก 97 ราย ในจำนวนนี้มีเพียงรายเดียวที่ไม่ได้อยู่ในมณฑลหูเป่ย แหล่งแพร่เชื้อไวรัส สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ในจีนมี 648 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 76,936 ราย

 

               ส่วนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้ยกระดับการเตือนการเดินทางไปยังเกาหลีใต้หลังพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ได้ยกระดับคำแนะนำพลเมืองชาวอเมริกันสำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่น จากระดับ 1 สู่ระดับ 2 จากทั้งหมด 4 ระดับ เนื่องจากไวรัสเริ่มเข้าข่ายแพร่ระบาดในชุมชน

 

               วันเดียวกัน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์ว่า ขณะนี้ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 14 ราย กลับบ้านแล้ว 21 ราย มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านเพิ่ม 1 ราย โดยเป็นนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีน อายุ 54 ปี รวมสะสม 35 ราย

 

               สำหรับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม-22 กุมภาพันธ์ 2563 ทั้งหมด 1,355 ราย โดยคัดกรองจากสนามบิน 68 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 1,287 ราย คัดกรองไปแล้ว 3,046,342 ราย ซึ่งอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,071 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และยังคงรักษาในโรงพยาบาล 284 ราย

 

               สถานการณ์ทั่วโลกใน 30 ประเทศ และ 2 เขตบริหารพิเศษ พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ 78,673 ราย เสียชีวิต 2,459 ราย

 

               นพ.สุขุม กล่าวต่อว่า สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศจากข้อมูลที่องค์การอนามัยโลก(WHO) ยังมีข้อแนะนำในการต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด ตลอดจนยังไม่มีการกำหนดเป็นมาตรการจำเพาะสำหรับผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งไทยเป็นสมาชิกก็ได้ทำตามเกณฑ์มาตรฐานดังกล่าว

 

               อย่างไรก็ตามรัฐบาลของประเทศไทยได้เพิ่มมาตรการการเฝ้าระวังและคัดกรองระหว่างประเทศในทุกช่องทางการเข้าออกประเทศและควบคุมทั้งด่านบก เรือ อากาศ ตลอดจนกระทั่งเฝ้าระวังที่โรงพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน

 

               ทั้งนี้ขอให้ประชาชนที่เดินทางจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดอย่างต่อเนื่อง หรือมีการระบาดภายในประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังมีประเทศที่เฝ้าระวังการแพร่ระบาด คือ อิหร่าน และอิตาลี ขอให้รับผิดชอบต่อสังคม

 

               โดยการเฝ้าระวังอาการตนเองอย่างน้อย 14 วัน งดไปในที่ชุมชน งดใช้ขนส่งสาธารณะ งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น หากมีอาการสงสัยว่าป่วยให้สวมหน้ากากอนามัย วัดไข้ทุกวัน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์ แจ้งประวัติการเดินทาง หรือโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

 

               ด้าน นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการนำพลาสมาของผู้ป่วยคนไทยรายแรกที่ติดเชื้อแล้วหายดีมาช่วยรักษาผู้ป่วยอาการหนักของไทย 2 คน ที่ใช้ทั้งเครื่องช่วยพยุงปอดว่า ทั้งคู่อาการทรงตัว ยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งวิธีการรักษาใดๆ จะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับอาการรุนแรงของผู้ป่วย

 

               และการจะนำตัวยาใดไปรักษาผู้ป่วยนั้นไม่ได้หมายความว่าจะสามารถช่วยรักษาผู้ป่วยทุกคนได้ ต้องมีแนวทางคัดเลือกต่างๆ เพราะบางคนอาจจะดีขึ้นบางคนอาจรุนแรง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกัน ส่วนเรื่องการใช้พลาสมาของบุคคลที่หายดีก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้ทุกคนเพราะต้องประเมินหลายด้าน เช่น การเข้ากันของพลาสมา บุคคลนั้นมีโรคประจำตัวอื่นๆ หรือไม่