เก่งอังกฤษ แต้มต่อโลกอาชีพ
เก่งอังกฤษ แต้มต่อโลกอาชีพ : คอลัมน์... เจาะประเด็นร้อน โดย.. เกศกาญจน์ บุญเพ็ญ [email protected]
“ปัญหาสำคัญ คือ คนสมัครงานไม่มีทักษะเพียงพอ และทักษะภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่ผู้ประกอบการต้องการ” อันธิกา ลิมปิอนันต์ชัย
นิยามเก่งภาษาอังกฤษในประโยคเดียวคือ “เลิกเรียนรู้เยอะ เริ่มเลียนแบบ” คริสโตเฟอร์ ไรท์
“ภาษาอังกฤษ” กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์เงินเดือนไปเสียแล้ว ในโลกอาชีพที่การแข่งขันสูง สเปกของคนทำงานที่ผู้ประกอบการต้องอย่างมาก ก็คือคนที่มีทักษะภาษาอังกฤษ ติด 3 อันดับต้นๆ ยิ่งถ้าครบเครื่องทั้งทักษะการสื่อสารพูด ฟัง อ่าน เขียน ยิ่งเป็นแต้มต่อให้โอกาสได้งานที่ดีกว่า เงินเดือนที่สูงกว่า 30% ในสายงานเดียวกัน และเติบโตก้าวหน้าในสายงาน
เพราะฉะนั้นจะก้าวสู่การแข่งขันในตลาดงาน โดยเฉพาะเหล่าบัณฑิตป้ายแดงจากรั้วอุดมศึกษาที่ปีนี้มีข้อมูลว่าจบออกมากว่า 3 แสนคน แต่ครึ่งหนึ่ง 1.5 แสนคนอยู่ในสถานะว่างงาน ทั้งจากการเรียกเงินเดือนที่สูง เลือกงานในบริษัท/องค์กรใหญ่เป็นที่รู้จัก และขาดทัศนคติที่ดียังรวมถึงเรื่องทักษะสำคัญอย่างทักษะภาษาอังกฤษ รู้แบบนี้เปิดใจและเตรียมตัวรับมือกันเถอะ!!
นายจ้างหวังเด็กจบใหม่สื่อสารได้
อันธิกา ลิมปิอนันต์ชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ดีบี (ประเทศไทย) กล่าวถึงสถานการณ์โลกของงานกับทักษะภาษาในโครงการเปิดเทอมสร้างสรรค์ ตอน “เตรียมตัวสู่โลกของงาน เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างไรให้ใช้การได้” ที่ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดขึ้น ว่าตำแหน่งงานเติบโตขึ้นทุกปี การสำรวจบริษัทองค์กรทั้งไทยและต่างชาติกว่า 400 บริษัท พบมีบริษัทต่างชาติมาลงทุนเปิดสาขาในประเทศไทยมากขึ้น ขณะที่เด็กจบใหม่ส่วนใหญ่มีความต้องการและสนใจอยากจะทำงานในบริษัทต่างชาติทำให้การแข่งขันสูง
แต่ปัญหาสำคัญคือ คนสมัครงานไม่มีทักษะเพียงพอ โดยเฉพาะทักษะภาษาอังกฤษ เป็นทักษะที่ผู้ประกอบการต้องการอย่างมาก ทั้งด้านการสื่อสารฟังพูดอ่านเขียน (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ด้านภาษาอังกฤษมีสัดส่วนความสำคัญเท่ากัน 62% และทักษะในการทำงานที่ตรงกับสาขาวิชาชีพ 54% โดยเฉพาะตำแหน่งวิศวกร ไอที บัญชี รวมถึงการตลาดดิจิทัล ยังขาดแคลนคนสมัครงานอยู่มาก อย่างไรก็ตามควรมีทักษะด้านดิจิทัล การใช้โซเชียลมีเดีย เขียนโปรแกรม หรือแปลผลข้อมูล
เรซูเม่ถูกต้อง-สัมภาษณ์โดนใจ
สำหรับการเขียนประวัติส่วนตัว (เรซูเม่) ภาษาอังกฤษเพื่อใช้สมัครงาน อันธิกา บอกด้วยว่า ฝ่ายบุคคล (HR) จะดูตั้งแต่เรื่องพื้นฐานทั่วไป ตั้งแต่ชื่ออีเมล (e-mail) ควรตั้งชื่อที่แสดงตัวตนเรา ชัดเจนเพราะสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพ อย่าตั้งชื่อเล่นๆ นอกจากนี้การเขียนต้องสะกดอย่างถูกต้อง ที่อยู่สถานที่ เบอร์ติดต่อที่ชัดเจน ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับตำแหน่งงานนำมาเขียนแต่นั่นหมายถึงว่าต้องมีทักษะนั้นอยู่จริงด้วย ต้องทำหัวข้อให้ชัดเจนอย่าเขียนยาวเป็นพรืดทั้งหน้ากระดาษ ต้องทำให้เขารู้จักเราได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะฝ่ายบุคคลมีเวลาดูเรซูเม่แค่ 7 วินาทีเท่านั้น ยิ่งบริษัทใหญ่ที่ได้รับเรซูเม่หลายพัน เขาจะแค่ Screen & Scan ฉะนั้นความยาวของเรซูเม่ไม่ควรเกิน 2 หน้า หรือจบได้เพียง 1 หน้ากระดาษ เนื้อหาสะดุดตา เข้าใจง่าย
“สิ่งที่น้องๆ จบใหม่ต้องรู้ทักษะการสื่อสารสำคัญมากเน้นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพราะเด็กจบใหม่ทุกวันนี้ยังสื่อสารไม่ได้ ยิ่งปัจจุบันการเรียกสัมภาษณ์งาน 80% สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษและใช้หลายรูปแบบไม่ใช่แค่สื่อสารกันแบบตัวต่อตัว แต่มีการนำเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น สัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ ผ่านสไกป์ (Skype) เป็นต้น เพราะฉะนั้นต้องหมั่นฝึกซ้อมการพูดสื่อสารและลงสนามสัมภาษณ์จริงจะได้เกิดประสบการณ์” น.ส.อันธิกา กล่าว
เลิกเรียนรู้เยอะ เริ่มเลียนแบบ
คริสโตเฟอร์ ไรท์ อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ กล่าวว่า คนไทยยังวิตกและกลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษ ทั้งที่ความจริงเราวนเวียนใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันอยู่กว่า 100 คำ ซึ่งต่อจากนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยโลกที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ในประเทศเราแต่ประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศสเปน ก็เรียนรู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งการจะฝึกฝนให้มีทักษะภาษาอังกฤษก็ไม่ยากเกินความสามารถทำได้ง่ายๆ และถ้าให้นิยามเก่งภาษาอังกฤษในประโยคเดียวคือ “เลิกเรียนรู้เยอะ เริ่มเลียนแบบ” เมื่อเปลี่ยนวิธีคิด จะนำไปสู่การเปลี่ยนความรู้สึกและพฤติกรรม ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องถูกเป๊ะทุกอย่าง อาจจะผิดบ้างถูกบ้างหรือถูกจับผิดอย่างไปสนใจ การเลียนแบบเรียนรู้ได้จากช่องทางและสิ่งรอบตัว ทั้งสื่อต่างๆ หรือแค่เปลี่ยนสมาร์ทโฟน เป็นสมาร์ทโอนเนอร์ ในการค้นหาข้อมูลฝึกฝนภาษาอังกฤษอาจจะตกใจว่าคุณจะเก่งภาษาอังกฤษขึ้น
ทั้งนี้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อให้ใช้งานได้จริงนั้นมีทฤษฎีง่ายๆ คือ 2 M&M ได้แก่ Man และ Media เจอบุคคลเจอสถานการณ์ที่ทำให้เข้ารู้สึกชอบและมีแรงบันดาลใจในการที่จะพูดภาษาอังกฤษ รวมถึงดูสื่อต่างๆ ดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือที่ชอบ แต่ไม่ใช่ดูแบบผ่านๆ ต้องตั้งใจดูและอ่านเนื้อร้องไปด้วย และ Mouth และ Mind ต้องขยันฝึกการพูดและเปิดใจที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
6 วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษ
อ.คริส ฝากด้วยว่า ข้ออ้างที่ถือได้ว่าความคิดที่ผิดในการไม่เรียนรู้ หรือฝึกฝนภาษาอังกฤษ คือ ข้ออ้างว่าเรียนไปไม่ได้ใช้ เดี๋ยวมันก็ลืมเป็นความคิดที่ผิดทั้งประเทศ เพราะจริงๆ เราก็ใช้ภาษาอังกฤษกันเกือบทุกวัน คิดว่าภาษาอังกฤษต้องใช้ต่อเมื่อมีต่างชาติมา แต่พอมีต่างชาติมาก็ไม่ใช้ เพราะมีความคิดว่า กลัวพูดผิด เพราะฉะนั้นถ้าอยากเก่งภาษาอังกฤษก็ไม่ต้องไปกลัวฝรั่งและสามารถฝึกฝนได้ 6 วิธี
คือ 1.พูดกับกระดาน เวลาที่ครูเขียนบนกระดาน แทนที่จะใช้เพียงปากกาจดก็พูดตาม 2.พูดกับกระจก ในที่นี้คือ กระจกโทรทัศน์ จอโทรศัพท์มือถือ หาสื่อที่เป็นภาษาอังกฤษดูแล้วคุยกับกระจกโดยต้องคุยแบบจริงๆ จังๆ 3.พูดกับกระดาษ สื่อที่เราชอบหนังสือนิยาย นิตยสารภาษาอังกฤษ 4.พูดกับอากาศ ได้ยินคำประโยคพูดตามที่ได้ยิน 5.พูดกับอาจารย์ ลองสนทนาภาษาอังกฤษกับอาจารย์บ้างทั้งในห้องเรียน หลังเลิกเรียน หรือเรียนสด/ออนไลน์ 6.พูดกับโอกาส คือ ฝรั่งที่เราพบเจอ งานที่เราทำ ธุรกิจที่ทำ หากทำฝึกฝนทำบ่อยๆ ก็สามารถเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษได้