ฉาย สวนกลับ อนุทิน ใครกันแน่ บ้าอำนาจ | คมชัดลึก

 

 

 

          หลังจากที่สื่อ ในเครือเนชั่น ได้เกาะติดและรายงานข่าว เกี่ยวกับการบริหารงานภายในกระทรวงคมนาคม ที่หยิบจับตรงไหนก็มีประเด็นให้ต้องลงไปแคะไปเจาะลึกมาโดยตลอด ทั้งความไม่ชอบพากลในเรื่อง ค่าโง่ทางด่วนโฮปเวลล์ ที่ตอนแรก ท่าทีของ รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ บอกรัฐบาลต้องไม่จ่ายค่าโง่แน่นอน เพราะยังพบว่า มีแนวทางการต่อสู้ในเรื่องคุณสมบัติของบริษัท โฮปเวลล์เอง แต่สุดท้าย ก็มีการดึงเรื่องกลับมาเพื่อรอการเจรจา ส่วนจะเจรจาหรือจะสู้คดี เรื่องนี้สังคมก็ยังตั้งคำถามและเฝ้าจับตามองกันต่อไป

 

 

          ขณะที่ท่าทีของรัฐบาล 3 กระทรวง (อุตสาหกรรม , เกษตรและสหกรณ์ และ สาธารณสุข) ที่ยืนยันในการแบน 3 สารพิษ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต  ที่จะเริ่มดีเดย์ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ประเด็นนี้คนไทยทั้งประเทศก็ต่างชื่นชมในความกล้าหาญ แต่จนแล้วจนรอด กลิ่นผลประโยชน์ทับซ้อนก็เริ่มโชย เมื่อก่อนหน้านี้ สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส (TPBS) ได้รายงานข่าวเจาะลึก ยกเลิกสารเคมี แล้วเกษตรกรจะใช้อะไรทดแทน ก็ปรากฏว่า มีการเปิดตัว สารชีวภาพเพื่อการเกษตรตัวใหม่ ชื่อ PICO เตรียมที่จะเข้ามาเสียบแทนที่แย่งการตลาดแทน 3 สารพิษที่ถูกสั่งห้ามไป

 

 

 

 

          พร้อมกันนี้ ช่อง TPBS เจาะลึกในข่าวชิ้นนี้ว่า โรงงานที่ผลิตสารชีวภาพตัวใหม่นี้ ตั้งอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ถือหุ้นเป็นคนนามสกุลเดียวกับ“พ่อเลี้ยง”เจ้าของบริษัทก่อสร้างใหญ่ในภาคเหนือ ที่ บังเอิญเป็นพ่อตาของผู้ทรงบารมีในพรรคการเมืองหนึ่ง

          หรืออีกข่าวชิ้นหนึ่งที่เครือเนชั่น เราตรวจสอบ จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ เสนอรายงานว่า มีการปรับงบประมาณ ปรับปรุงขยายสนามบิน ในความรับผิดชอบของกรมท่าอากาศยานทั่วประเทศ 29 สนามบิน โดยลดวงเงินสนามบินภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะภาคใต้และภาคเหนือ ไปถมในสนามบินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบุรีรัมย์ที่ปรับวงเงินให้กว่า 2 พันล้านในการปรับปรุง 

          ทั้งที่ความจำเป็นการใช้งานของสนามบินบุรีรัมย์อยู่ในอันดับ 13 ของสนามบินที่กรมท่าอากาศยานต้องดูแลทั้งสิ้น 29 สนามบิน มีผู้โดยสารใช้บริการ 354,770 คนต่อปี มีเที่ยวบินใช้บริการ 3,289 เที่ยวบิน และเป็นเป้าหมายที่บริษัทท่ากาศยานไทย (AOT) เสนอขอโอนไปบริหารเอง ทั้งๆ ที่ปริมาณการจราจรทางอากาศไม่คุ้มเชิงพาณิชย์ แต่มี “ความจำเป็นพิเศษ” 

          หลายฝ่ายกำลังจับตาว่างบประมาณแผ่นดินจำนวน 3.2 ล้านล้านบาท ที่กำลังมีการแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการถูกโยกไปลง“บุรีรัมย์” ผ่านงานด้าน คมนาคม-สาธารณสุข-ท่องเที่ยวและกีฬา มากน้อยเพียงใด และจะเป็นการนำทรัพยากรของคนทั้งประเทศ ไปสร้างความเจริญให้บุรีรัมย์เป็น “เมืองหลวง”
สำหรับการเมืองบางพรรคหรือไม่

 

 

 

          สื่อสารมวลชน เราเปรียบเสมือนหมาเฝ้าบ้าน ซึ่งเราขออาสามาทำหน้าที่นี้ ก็ต้องติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเจาะลึก แต่สิ่งที่สื่อมวลชนอย่างเราได้รับก็คือ การที่พรรคภูมิใจไทย  สั่งการให้ส.ส.เขต และปาตี้ลิสต์ ทั่วประเทศ  รวมถึงอดีตผู้สมัคร ส.ส. เดินสายแจ้งความเอาผิดกับ  3 บรรณาธิการข่าว และ บริษัท เนชั่นบอรดแคสติ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด  โดยเฉพาะที่จังหวัดนครราชสีมา  มีการระบุว่าจะเร่งดำเนินการฟ้องร้องให้ครบทั้ง 32 อำเภอ  กรณีกล่าวหาว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ  รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย  มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำงาน  ทั้งๆที่เป็นเพียงการรายงานข่าวในเชิงตั้งข้อสังเกต จากพยานหลักฐาน และการรับฟังข้อเท็จจริงจากหลายๆฝ่าย   

          หรือแม้กระทั่ง เมื่อวานนี้ (20 พ.ย.62) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุข้อความว่า “สุนัขบ้าเวลากัด แล้วจะตายเองอย่างทุรนทุราย RIP Rest in Pain”

          น่าสนใจว่า ข้อความ สเตตัสนี้ ท่านรองนายกฯอนุทิน โพสต์ขึ้นมานี้ จะหมายถึงใคร จะส่งสัญญาณถึงใคร อันนี้เราไม่สนใจเพราะถึงอย่างไร เราก็จะปักหลักทำหน้าที่ สื่อ หมาเฝ้าบ้าน เฝ้าเมือง เฝ้าประเทศไทยของเราต่อไป

          จนล่าสุด  นายฉาย บุนนาค  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  ได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สังคมไม่โง่...ใครกันแน่  "หมาบ้า(อำนาจ)"  # ฟ้องแกล้งเธอทุกอำเภอ  เพราะขัดผลประโยชน์ เธอคนเดียว   

 

 

 

 

          นี่ก็คือการกล่าวย้ำ ว่าเครือเนชั่น เราจะยืนยันหลักการชัดเจนของสื่อเครือเนชั่น กรุ๊ป ในการเดินหน้าทำหน้าที่นำเสนอทุกข้อเท็จจริง  เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติต่อไป