ยอดตัวเลขผู้ป่วย “โรคปอดอักเสบรุนแรง”จากเชื้อ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019” (19-nCoV) ยังพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลวันที่ 26 มกราคม 2563 จีนพบผู้ป่วย 2,029 ราย เสียชีวิต 56 ราย ส่วนไทยแลนด์ตามมาเป็นอันดับ 2 พบแล้ว 8 ราย อันดับ 3 ฮ่องกงพบ 6 ราย นอกจากนี้ ยังมีรายงานพบผู้ป่วยในประเทศอื่น ๆ รวมเป็น 15 ดินแดนและประเทศ เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ อเมริกา เวียดนาม ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส ฯลฯ
หากประเมินตัวเลขที่จีนระบุว่า มีผู้อยู่ระหว่างเฝ้าสังเกตการณ์อีก 2.1 หมื่นราย จนทางการสั่งปิดเมืองเพิ่มเรื่อยๆ ในระดับเข้มมากน้อยต่างกันไป หวังควบคุมการระบาดไวรัสร้ายตัวนี้ให้ได้เร็วที่สุด พร้อมสั่งปิดสถานที่สำคัญทั่วประเทศ เช่น วังต้องห้ามในกรุงปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์, ด่านกำแพงเมืองจีน ฯลฯ และที่สำคัญสุดคือคำสั่ง “ปิดเมืองอู่ฮั่น” ห้ามเดินทางเข้า-ออกโดยไม่จำเป็นอย่างเด็ดขาด รวมถึง16 เมืองใกล้เคียงด้วย ทำให้รัฐบาสทั่วโลกรู้สึกวิตกกังวล ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงเพิ่มขึ้นเพียงไร เนื่องจากมนุษย์ยังไม่มีภูมิคุ้มกันเชื้อโรคใหม่ตัวนี้
แม้แต่รัฐบาล “เกาหลีเหนือ” ยังรีบประกาศสั่งปิดพรมแดนห้ามนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. ส่วน "ไต้หวัน” ล่าสุด ระงับออกวีซ่านักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่ทั้งหมดแล้ว เพราะจีนไม่ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเชื้อโรคนี้ และ“ฟิลิปปินส์” มีคำสั่งให้ส่งตัวผู้โดยสาร 135 คนที่เดินทางมากจากเมืองอู่ฮั่นกลับจีน พร้อมประกาศห้ามนักเดินทางจากบางพื้นที่ของจีนชั่วคราว
ส่วนประเทศไทยนั้นยังไม่จำกัดการเดินทางจากจีน จากสถิติวันที่ 3 - 23 ม.ค.2563 มีนักท่องเที่ยวจากอู่ฮั่นเข้าไทยผ่านทาง 5 สนามบินทั่วประเทศ ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และกระบี่ รวม 136 เที่ยวบินประมาณ 2.1 หมื่นคน ถือเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย และหากรวมตัวเลขคนจีนทั้งหมดที่เข้าในไทยประมาณเฉลี่ยเดือนละ 8-9 แสนคน ทำให้เกิด ประเด็นถกเถียงกันสื่อสังคมออนไลน์ ว่ารัฐบาลไทยควรมีมาตรการ “ปิดกั้นคนจากเมืองจีนชั่วคราว” จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหรือไม่ หลายคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้
ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา สังกัดฝ่ายควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข วิเคราะห์ให้ “คมชัดลึก” ฟังว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ “ไวรัสโคโรนา 2019” เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขใน “จีน” แต่ยังไม่ได้ประกาศเป็น “ระดับนานาชาติ” เนื่องจากยังไม่ครบองค์ประกอบการระบาด 6 ขั้น “Pandemic Phases” ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
ระยะแรก “Interpandemic period” แบ่งเป็น ขั้นที่ 1 พบเชื้อโรคจาก “สัตว์สู่คน” แต่ยังเป็นระดับที่มีความเสี่ยงต่ำ พบจำกัดในบางพื้นที่เท่านั้น ขั้นที่ 2 เป็นระดับที่เชื้อโรคมีความเสี่ยงสูง ที่จะแพร่มายังมนุษย์ทั่วไป
จากนั้นก็เข้าสู่ ระยะเริ่มระบาด “Pandemic alert period” เป็น ขั้นที่ 3 พบเชื้อโรคในลักษณะแพร่จาก “คนสู่คน” แต่ยังอยู่ในวงจำกัด ขั้นที่ 4 เป็นระยะที่พบเชื้อโรคเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวทางพันธุกรรมทำให้แพร่กระจายจาก “คนสู่คน” ได้ง่ายขึ้น ขั้นที่ 5 เป็นระยะเชื้อโรคกำลังขยายวงแพร่ระบาดจากคนสู่คนในวงกว้าง มีการแจ้งเตือนและควบคุมไม่ให้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ
และระยะสุดท้ายคือ ระยะระบาดหนัก “Pandemic period” ซึ่งเป็นขั้นที่ 6 สูงสุด หมายถึง ระยะที่เชื้อไวรัสมีการปรับตัวทางพันธุกรรมมากขึ้นและแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในหลายประเทศและหลายทวีป
“สถานการณ์ตอนนี้ เป็นเพียงขั้นตอนที่ 5 เพราะการระบาดอยู่ที่จีนเท่านั้น ผู้ป่วยที่พบในประเทศอื่นก็เดินทางมาจากจีน แม้จะพบในทวีปอื่นก็ตาม แต่หากวันไหนที่พบการติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ในประชากรจากทวีปอื่นที่ไม่ใช่เอเชีย และไม่ได้เดินทางเข้าออกจากจีน แสดงว่าอยู่ในขั้นตอนที่ 6 ถือว่าระบาดทั่วโลกแท้จริง”
ส่วนคำถามว่าไทยควรปิดกั้นห้ามคนจีนเดินทางเข้ามาหรือไม่นั้น ผู้เชี่ยวชาญข้างต้นอธิบายว่า ตอนนี้เชื้อไวรัสระบาดที่จีนเท่านั้น ยังไม่ระบาดในประเทศอื่น และรัฐบาลจีนค่อนข้างมีมาตรการขั้นเด็ดขาดมาก เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีประเทศไหนสั่งปิดเมืองหรือสั่งปิดจังหวัด ห้ามไม่ให้คนเดินทางเข้าออกมาก่อน ไม่ว่าเป็นกรณี เชื้อไวรัสเมอร์สที่ระบาดจากตะวันออกกลาง หรือ เชื้อไวรัสอีโบลาในแอฟริกา
“อยากให้เข้าใจว่า ถึงรัฐบาลจะสั่งปิดประเทศห้ามคนจีน เข้า- ออกทุกด่านของไทยอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันนั้น แต่คำถามคือหากนักท่องเที่ยวหรือคนทำงานจากเมืองไทย คนเวียดนาม คนเกาหลี คนญี่ปุ่น อเมริกาหรือคนจากยุโรปที่เดินทางไปจีนแล้วเข้าแวะผ่านเข้ามาในไทย เราจะห้ามคนกลุ่มนี้ด้วยหรือไม่ แสดงว่าไทยปิดประเทศห้ามคนทั่วโลกเดินทางเข้า เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่าพวกเขาเคยเดินทางไปจีนก่อนมาไทยหรือ หากเคยไปก็มีโอกาสติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้เช่นกัน สำหรับด้านระบาดวิทยาแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะห้ามคนจีนมาไทย ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างประเทศไทยกับจีนด้วย โดยเฉพาะเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสาธารณสุข สิ่งที่ควรทำคือการเฝ้าระวังและคัดกรองผู้ต้องสงสัยอย่างเข้มงวด”
นักระบาดวิทยาข้างต้นวิเคราะห์ต่อว่า ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ยังประเมินไม่ได้ว่า ไวรัสร้ายตัวนี้จะหยุดระบาดเมื่อไร เพียงแต่มีเอกสารวิชาการตีพิมพ์เผยแพร่ “ข้อมูลลำดับยีนของไวรัสโคโรนา 2019” ต้องใช้เวลาศึกษาและเฝ้าดูลักษณะการแพรระบาดสักพัก เช่น ตัวเลขผู้ติดเชื้อแล้วมีอาการป่วยรุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ผู้ที่ติดเชื้อแล้วไม่มีอาการป่วยแต่เป็นพาหะแพร่เชื้อโรค ฯลฯ โดยปกติเมื่อเกิดเหตุการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี กว่าร่างกายของประชากรผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นจะค่อย ๆ สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ เช่น กรณีของ ไวรัสซาร์ส ไวรัสเมอร์ส ไวรัสอีโบล่า ฯลฯ
เนื่องจากสำหรับอัตราส่วนความสามารถในการระบาดของ “ไวรัสโคโรนา 2019” นั้นประมาณ 1 ต่อ 3 หมายถึงผู้ติดเชื้อ 1 คน สามารถแพร่ติดต่อไปให้ 2- 3 คน ต้องมีคนติดเชื้อนี้หลายล้านคนในเมืองอู่หั่น ถึงจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนการสร้างวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตัวใหม่นั้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 ปี กว่าจะผ่านขั้นตอนยอมรับจากองค์การสาธารณสุขระดับนานาชาติ แต่ไม่แน่ใจว่ากรณีของไวรัสโคโรนา 2019 นั้น รัฐบาลจีนจะสร้างวัคซีนหรือไม่และจะสร้างแบบฉุกเฉินได้รวดเร็วแค่ไหน
สรุปคือนักระบาดวิทยายืนยันว่า “ปิดกั้นคนจีน” ไม่ได้ช่วยป้องกันประเทศไทยจากเชื้อไวรัสร้ายตัวนี้ แต่ยิ่งกลับทำให้เกิด “อคติด้านลบ” และอาจเกิดความบาดหมางกลายเป็นความความสัมพันธ์ไม่ดีระหว่างกันในอนาคต ..
ทีมรายงานพิเศษ คมชัดลึก