"วิระชัย"คัมแบ็ก เก้าอี้แม่ทัพสีกากี คนที่ 12 จะพลิกโผหรือไม่?
เจาะประเด็นร้อน จับตา แม่ทัพสีกากี เมื่อ "วิระชัย"คัมแบ็ก เก้าอี้ผบ.ตร.คนที่ 12 จะพลิกโผหรือไม่?
หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. กลับไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติคงเดิม หลังจากที่ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในกรณี มีพฤติการณ์และการกระทำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ในการอำนวยการยุติธรรม กระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการปฏิบัติราชการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นเหตุให้ราชการเสียหาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (1) (3) (4) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียนบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 จึงให้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 22/2563 ลงวันที่ 23 มกราคม 2563 และให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลับไปปฎิบัติราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นั้น
งานนี้ก็ต้องกลับมาจับตากันที่ เก้าอี้ผู้นำสีกากี ผบ.ตร.คนใหม่ จะใช่ดังเดิมตามตัวเต็งที่เผยมาก่อนหน้านี้หรือไม่ ก็ต้องมาจับตากัน
“บิ๊กแป๊ะ“ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ซึ่งเตรียมอำลาตำแหน่ง “แม่ทัพสีกากี” ในวันที่ 30 กันยายน 2563 แต่ถ้าหากนับถึงวันนี้ “พล.ต.อ.จักรทิพย์” มีอายุเกิน 60 ปีแล้ว เพราะเกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2502 ส่วนเหตุผลสำคัญ ที่ยังไม่เกษียณอายุราชการเมื่อปีที่ผ่านมานั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าในระบบราชการไทยนั้น หากใครที่เกิดตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป จะได้รับการแถมอายุราชการให้แบบอัตโนมัติอีก 1 ปี อันสืบเนื่องมาจากการนับวงรอบปี ในวงราชการบ้านเรานั้น เริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม ไปจบวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป ดังนั้น”บิ๊กแป๊ะ” เลยมีคิวเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนปี 2563
ขณะเดียวกันเริ่มมีการคาดหมายกันแล้วว่า นายตำรวจคนใดจะเข้ามารับไม้ต่อจาก “บิ๊กแป๊ะ” เพราะตำแหน่งผบ.ตร. ถือว่ามีความสำคัญ นอกจะเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญด้านความมั่นคง ยังมีภารกิจที่สำคัญหลายประการ ทั้งดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ บังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และรวมถึงสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชน ที่ดูเหมือนจะสุ่มเสี่ยงการผิดกฎหมาย และยังต้องตอบสนองนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่
ดังนั้น “แม่ทัพสีกากี” ต้องรับบทหนักมาก กับการกำหนดโยบาย สำคัญกว่านั้นอย่าลืมว่า “บิ๊กแป๊ะ” ได้สร้างบรรทัดฐานไว้สูง ทั้งเรื่องความสามารถในการบริหาร และการคลี่คลายคดีสำคัญหลายคดี
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ คอนเนคชั่นของ "แม่ทัพสีกากี" คนปัจจุบัน นอกจากจะเป็นที่ยอมรับบุคคลสำคัญในรัฐบาล “บิ๊กแป๊ะ” ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ "บิ๊กแดง" พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 20
ส่วนแคนดิเดทนายตำรวจ ซึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็น "แม่ทัพสีกากีคนที่ 12" ก่อนหน้านั้น ชัดเจนเต็งๆ มีแค่ 2 คน เท่านั้น 1. คือ "บิ๊กนู"พล.ต.อ.มนู เมฆหมอกรองผบ.ตร. นรต.38 ที่รับผิดชอบงานบริหาร เกษียณอายุราชการในปี 2564 และ 2. "บิ๊กปั๊ด" พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เพื่อนร่วมรุ่น นรต.36 กับ “พล.ต.อ.จักรทิพย์” ที่ผ่านมารับผิดชอบงานด้านความมั่นคงและสืบสวนสอบสวน โดยจะเกษียณอายุราชการในปี 2565 และล่าสุดก็ต้องกลับมามองที่ "บิ๊กต้อย" พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. ที่ นายกฯเพิ่งเซ็นคำสั่งให้ย้ายกลับมาที่ ตร.เหมือนเดิม และจะเกษียณอายุราชการในปี 2565
แต่ละท่านทั้งผลงาน และ คอนเนคชั่น นั้นก็ไม่เบาเลยทีเดียว อย่างเช่น “พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก” ได้รับมอบหมายให้มานั่งเป็นประธานคณะกรรมการรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ซึ่งศูนย์ดังกล่าวทำหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง และมีประชุมทุกวันในเวลา 10.00 น. โดย พล.ต.อ.มนู จะเป็นผู้คอยรวบรวมและรายงานผลการปฏิบัติในส่วนต่างๆ ให้ ผบ.ตร.และรัฐบาลทราบ ซึ่งนายตำรวจท่านนี้ได้รับการยอมรับ เรื่องความสามารถในการบริหารงาน และมีบุคคลสำคัญให้การสนับสนุน
ส่วน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ตร. กำกับดูแล ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานอื่น อีกทั้งยังได้รับภารกิจจากกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) และประสานงานการปฏิบัติกับกลไกหลักของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศผ่าน กอ.รมน.จังหวัด ขับเคลื่อนการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ฝ่ายปกครอง ทหาร และหน่วยร่วมปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง
ที่ผ่านมา “บิ๊กปั๊ด” ผลงานมีมากมาย เพราะมีความสามารถในด้านสอบสวน อีกทั้งมีส่วนในการคลี่คลายคดีสำคัญที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง รวมทั้งยังเป็นนายตำรวจที่ “พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้ความไว้วางใจมาโดยตลอด มอบหมายให้คลี่คลายคดีสำคัญ อย่างล่าสุดคือการกักตุนหน้ากากอนามัย
นอกจากนี้ “บิ๊กปั๊ด” ยังได้รับการสนับสนุนจาก “ผบ.ทบ.” เพราะทำงานด้านความมั่นคงด้วยกันมาตลอด ซึ่งถ้าหากไม่มีปัจจัยแทรกซ้อน “พล.ต.อ. สุวัฒน์” น่าจะมีโอกาสได้รับตำแหน่งสำคัญก่อนเกษียณอายุราชการ
ขณะที่ “บิ๊กต้อย” พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร.ผลงานสำคัญและเป็นคดีดังที่หลายคนรู้จัก คือทลายเครือข่าย "เมจิกสกิน" เริ่มจาก จับเจ้าของธุรกิจ ค้นโรงงานผลิต จนกระทั่งออกหมายเรียกศิลปินดารา ที่รับรีวิวสินค้าเครือดังกล่าว นอกจากนี้ยังจับกุมคดีดังอีกหลายคดีที่เกี่ยวกับยาลดความอ้วน เครื่องสำอาง อาหารเสริมต่างๆอีกด้วย ดีกรีไม่ธรรมดา การศึกษาก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน
แต่ที่สุดแล้ว คนที่จะเสนอชื่อก็คือ ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ซึ่ง "บิ๊กแป๊ะ" เคยประกาศบนเวทีงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เมื่อปี 63 ของตร. ภายใต้ชื่อ “สามัคคี คือ พลัง” ด้าน “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ได้กล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า “ผมจะอยู่กับท่านอีก 270 กว่าวัน จากที่เริ่มจาก 1,800 กว่าวัน อีก 270 กว่าวัน จะจากกันไป จะท่านรองฯมนู ก็ดี รองฯสุวัฒน์ก็ดี คนที่จะมาดูแลต่อไป จะจัดแบบนี้อีกหรือไม่ ก็เป็นหน้าที่ผู้บังคับบัญชาที่ต้องดูแล”
คำพูดดังกล่าวเหมือนเป็นการส่งสัญญาณ ให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้ว่า แม่ทัพสีกากีคนต่อไป คงหนีไม่พ้น “พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” หรือ “พล.ต.อ. มนู เมฆหมอก” สองรองผบ.ตร. ซึ่งได้รับการยอมรับจากแวดวงสีกากีทั้งคู่
เมื่อ คมชัดลึก ตรวจสอบข้อมูลซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจัดลำดับอาวุโสลำดับที่ 1 พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร.(นรต.37) เกษียนปี 2565 , ลำดับที่ 2 พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผบ.ตร.(นรต.36)เกษียนปี 2565 ,ลำดับ 3 พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รองผบ.ตร. (นรต.38) เกษียณปี 2564 ,ลำดับ 4 พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร จเรตำรวจ (นรต.37) เกษียณปี 2564 และลำดับ 5 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผบ.ตร. (นรต.36) เกษียณปี 2565
จากนี้ต้องจับตาดูว่า การเปลี่ยนแปลงของตร. ในอนาคต จะมีใครมาถือธงนำ เพื่อสร้างให้องค์กรเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป