ปม "แม่ตั๊ก" บาน สำนักพุทธฯ กำชับให้ข้อมูลพระซื้อทอง หลังพบเจ้าอาวาสถูกหลอก
สำนักพุทธฯ สั่งเช็กข้อมูลเข้มปมเจ้าอาวาสซื้อทองเปอร์เซ็นต์ต่ำจาก "แม่ตั๊ก" ก่อนเอามาคืน พร้อมให้สัมภาษณ์กรณี CF ทองเป็นของขวัญโยมแม่
28 ก.ย.2567 กรณี แม่ตั๊ก กรกนก หรือ แม่ตั๊ก เศรษฐินี แม่ค้าไลฟ์สดขายทองออนไลน์ชื่อดัง ที่มีลูกค้าร้องเรียนกรณีนำทองที่ซื้อไปขายแต่ร้านไม่รับซื้อเนื่องจากเป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ จนเกิดกระแสดราม่า ต่อมามีลูกค้าจำนวนมากเอาทองมาคืนตลอด 4 วันที่ผ่านมา
กระทั่งลูกค้าจำนวนหนึ่งเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจ ปคบ. กรณี แม่ตั๊ก และป๋าเบียร์ กานต์พล สามีแม่ตั๊ก หลอกขายทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ รวมทั้งตกเป็นเป้าถูกตรวจสอบทรัพย์สิน และอาจถูก ปปง.ยึดทรัพย์ด้วยนั้น
ล่าสุด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกเอกสารข่าวชี้แจง ระบุว่า “หลวงพี่ขอคืน ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อออนไลน์ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ว่า มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง ได้ว่าจ้างเหมารถด้วยเงินจำนวน 1 หมื่นบาท ไปเข้าคิวรอขายทองคืนแม่ค้าออนไลน์ซึ่งกำลัง เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ โดยระบุว่าเป็นพระสงฆ์จากจังหวัดเลย นั้น
สำนักพุทธฯ ได้ประสานเพื่อตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเลยแล้ว ได้รับการชี้แจงว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเลย ได้ประสานขอข้อมูลจากเจ้าคณะอำเภอเชียงคานทราบว่า พระภิกษุที่ปรากฏตามข่าว มีตำแหน่งทางการปกครองสงฆ์เป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในเขตตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
และเมื่อสอบถาม ไปยังเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อปี 2565 มีความตั้งใจจะซื้อทองเป็นของขวัญ ให้โยมแม่ ประกอบกับเห็นเพจขายสินค้าออนไลน์ ไลฟ์สดขายทองด้วยความตั้งใจไว้แล้วจึงได้ซื่อทองผ่านเพจออนไลน์ โดยใช้ปัจจัยส่วนตัว เป็นสร้อยข้อมือ น้ำหนัก 3 บาท ได้สร้อยคอ 1 บาท แถมมา 1 เส้น ในราคา 99,800 บาท เมื่อได้ทองแล้วก็นำไปมอบเป็นของขวัญให้โยมแม่ โยมพ่อ
ต่อมา เมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา โยมแม่โทรมาเล่าเรื่องทองที่ซื้อจากเพจออนไลน์ กำลังเป็นข่าว เกิดความไม่สบายใจ จึงบอกโยมแม่ว่า หากไม่สบายใจ ให้เอามาคืน จะนำไปคืน ร้านให้ จึงได้เหมารถนำทองไปคืนร้าน โดยไม่ทราบว่า ที่ร้านกำลังเป็นข่าว และมีลูกค้าไปรอขายคืนทองเป็นจำนวนมาก
ระหว่างรอจึงมีนักข่าวเข้าไปสัมภาษณ์ และช่วยติดต่อกับทางร้านจนได้เงินคืนและคืนทองไปเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งกรณีตามที่ปรากฏออกไปตามสื่อต่างๆ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มอบหมายและกำชับให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ทั่วประเทศได้ถวายข้อมูลและสนองงานเจ้าคณะปกครองสงฆ์อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีกต่อไป”