
ฟังอีกมุม คนขับเรือโต้ "ทราย สก๊อต" ยันที่ผ่านมาอนุรักษ์ตลอด
ฟังอีกมุม คนขับเรือกระบี่ โต้ "ทราย สก๊อต" ยันที่ผ่านมาช่วยอนุรักษ์ตลอด แต่ไม่มีคนเห็น เพราะไม่เน้นคอนเทนต์ ลั่น"ทราย" ลงพื้นที่วันเดียว ถ่ายคลิปไปทยอยโพสต์
20 เม.ย. 2568 หลังเกิดกระแสดราม่าระหว่างผู้ประกอบการเรือนำเที่ยวในพื้นที่ จ.กระบี่ กับ นายสิรณัฐ หรือ ทราย สก๊อต นักอนุรักษ์ชื่อดัง ทำหน้าที่ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ ซึ่งก่อนนี้มีเพียงข้อมูลจากทางทราย ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ตำหนิผู้ประกอบการนำเที่ยว ว่าไม่ให้ความร่วมมือ ลักลอบทิ้งสมอเรือในจุดห้ามทิ้ง
ผู้สื่อข่าวจึงไปสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้นจากผู้ประกอบการเรือนำเที่ยวในกระบี่ ซึ่งเป็นต้นเหตุของดราม่าที่เกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่หาดอ่าวนาง จ.กระบี่ ต่างไม่พอใจกับการออกมาให้ข่าวของ "ทราย สก๊อต" โดยมองว่าโจมตีผู้ประกอบการ ว่าไม่รักษาธรรมชาติในทะเล ซึ่งที่ผ่านมา ก่อน "ทราย สก๊อต" จะเข้ามา ผู้ประกอบการยืนยันว่า ช่วยดูแลธรรมชาติมาโดยตลอด พร้อมนำคลิปที่คนขับเรือ และผู้ประกอบการ กำลังช่วย จนท.อุทยานฯ ติดตั้งทุ่นผูกเรือ บริเวณอ่าวบูหยา เกาะปอดะ เมื่อวันที่ 7 มี.ค.68 ให้ผู้สื่อข่าวดู เพื่อยืนยันว่ากลุ่มผู้ประกอบการ พยายามหาทางแก้ปัญหาเรื่องการจอดเรือโดยไม่ต้องทิ้งสมอเหมือนกัน
นายวิรัช (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี และนายกมล (สงวนนามสกุล) อายุ 59 ปี คนขับเรือนำเที่ยวในทะเลกระบี่ เผยว่า พวกตนขับเรือนำเที่ยวมานาน ที่ผ่านมาชาวบ้านพยายามปฏิบัติตามคำสั่งของ จนท.มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการผูกเรือกับทุ่นในเขตห้ามทิ้งสมอ เพราะหากทิ้งสมอ ก็กลัวจะกระทบต่อแนวปะการัง หรือธรรมชาติใต้ท้องทะเล ผู้ประกอบการก็ช่วยกันรักษาธรรมชาติ ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย
จน “ทราย” เริ่มเข้ามา ก็ไปไล่ถ่ายรูปหมายเลขเรือ และรูปเรือนำเที่ยว และบอกว่าตรงนี้จอดเรือ ตรงนั้นจอดเรือไม่ได้ แล้วก็ถ่ายคลิป ถ่ายรูปเรือไปโพสต์ลงโซเชียล ตำหนิต่อว่าผู้ประกอบการเรือตลอด ซึ่งผู้ประกอบการมองว่า ควรจะพูดคุยตักเตือน หรือติดป้ายเตือนให้ชัดเจนว่าห้ามจอดเรือตรงไหนบ้าง และน่าจะมีการตักเตือนกันก่อนก็ได้ ไม่ใช่มาถ่ายรูปแล้วนำไปโพสต์ลงโซเชียล สร้างคอนเทนต์ โดยใช้คนเรือเป็นเหยื่อ พวกตนชาวบ้านขับเรือไม่มีโซเชียลในมือ เวลาพวกตนปฏิบัติตามคำเตือน คำสั่ง จนท.ก็ไม่ได้ถ่ายรูปเอาไปลงบอกใครในโซเชียลได้
ยืนยันว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านไม่เคยขัดต่อคำสั่งของกรมอุทยานฯ หรือคำเตือนของ จนท. มีแต่จะช่วยกันอนุรักษ์ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และดูแลความปลอดภัยของ นทท. ชาวบ้านที่นี่ เกิดมากับทะเล อยู่กิน ทำงาน และใช้ชีวิตกับทะเล ไม่มีใครอยากทุบหม้อข้าวของตัวเองแน่นอน ที่ผ่านมาพา นทท.ไปเที่ยวในจุดที่อุทยานฯ อนุญาตเท่านั้น และทำกันมานานแล้ว จนมาเกิดปัญหาเมื่อ “ทราย” เข้ามา
พวกตนเข้าใจว่าเจตนาจะอนุรักษ์ ซึ่งช่วงแรกพวกตนยังชื่นชมในเรื่องของการอนุรักษ์ แต่ตัวของทราย กลับดูถูกเหยียดหยามคนขับเรือ คนเป็นไกด์ ว่าพูดภาษาไม่ได้บ้าง ไม่ช่วยกันอนุรักษ์บ้าง ซึ่งมันขัดกับความเป็นจริง ด้าน น.ส.ทิพย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี ไกด์นำเที่ยว และเป็นผู้ประกอบการนำเที่ยว ใน จ.กระบี่ เปิดเผยด้วยว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการและไกด์ให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามคำสั่ง กฎระเบียบของกรมอุทยานฯ มาโดยตลอด พร้อมกับ ช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นการช่วย จนท.วางทุ่นผูกเรือบริเวณ จุดห้ามทิ้งสมอเรือ เพื่อจะได้ผูกเรือกับทุ่นแทนการทิ้งสมอเรือ จะได้ไม่กระทบต่อธรรมชาติใต้ท้องทะเล แต่ไม่เคยมีใครเห็นเวลาผู้ประกอบการช่วยกันอนุรักษ์ เพราะพวกตนไม่มีปากมีเสียง
เวลาทำงานช่วย จนท.ก็ทำกันเงียบๆ ไม่เคยมีใครรับรู้ เพราะพวกตนไม่ได้เน้นโพสต์ลงโซเชียล ผิดกับทรายที่ลงโซเชียลโจมตีพวกตนตลอด แต่ฝั่งของ ”ทราย“ มีการเผยแพร่เรื่องราวผ่านโซเชียล อ้างว่า ผู้ประกอบการตัดทุ่นผูกเรือบริเวณจุดจอดเรือบ้าง ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง จนท.บ้าง ที่ผ่านมาพวกตนปฏิบัติตามคำสั่ง และมาตรการคำเตือนของ จนท.มาโดยตลอด เพราะจะมีการประชุมทำความเข้าใจกันตลอด แต่เราไม่ได้เผยแพร่สื่อโซเชียล ที่จะไปประกาศหรือถ่ายภาพตอนที่เราทำตามกฎ
และประเด็นที่ ”ทราย“ ไปพูดว่าทางไกด์พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และไม่ดูแลความปลอดภัยของ นทท.นั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากว่าไม่มีใครอยากให้ นทท.หรือลูกทัวร์ของตัวเองมาบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ที่ผ่านมาดูแลกันตลอด อยากให้สังคมเข้าใจผู้ประกอบการด้วย เพราะ "ทราย" มาลงพื้นที่แค่วันเดียว ถ่ายคลิปไปทยอยโพสต์ผ่านโซเชียลเพราะเอายอดไลท์ หากมีปัญหาจริง ทำไมไม่เอาปัญหาไปหาทางแก้ไข ทำไมต้องเอาไปด่าว่ากันด้วย ไกด์และผู้ประกอบการ อยากถามว่า คลิปที่เผยแพร่ออกมา "ทราย" เป็นที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ สามารถห้าม นทท.เข้ามาเที่ยวได้หรือไม่ และมีอำนาจไล่ นทท.ออกจากจุดดำน้ำหรือไม่ อยากฝากถามด้วย.