ข่าว

ย้อนชีวิต "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" คนดี (ไม่) คนเดิม สู่ นักต้มตุ๋นพันล้าน

ย้อนชีวิต "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" คนดี (ไม่) คนเดิม สู่ นักต้มตุ๋นพันล้าน

22 ธ.ค. 2565

ย้อนรอยชีวิต "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" คนดี (ไม่) คนเดิม กลายเป็นจำเลย ในความผิด ฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ความเสียหายกว่าพันล้านบาท

จากกรณีที่วันนี้ (22 ธ.ค.) ศาลนัดพิจารณาคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นาย "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" กับพวกรวม 9 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ,พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ คดีหลอกให้ร่วมลงทุนซื้อคูปองทอง ลงทุนซื้อแพคเกจท่องเที่ยว และระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ มูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท

 

แต่ในระหว่างพิจารณาคดี ประสิทธิ์ เจียวก๊ก ได้ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ โดยในห้องน้ำมีผู้นำเสื้อผ้า ชุดลำลอง พร้อมกุญแจไขเครื่องพันธนาการมาให้ นายประสิทธิ์ เปลี่ยนเพื่อหลบหนี แต่ถูกตำรวจจับกุมได้ทันควัน คมชัดลึกออนไลน์ จะพาไปดูเรื่องราวของ "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงวันที่ถูกกองปราบแฉว่าฉ้อโกงเงินประชาชนกว่า 1 พันล้านบาท

 

 

  • "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" เกิดที่จังหวัดกระบี่ ที่บ้านมีอาชีพทำสวนยาง ในสมัยประถม ประสิทธิ์สร้างชื่อในทางที่ไม่ดี เริ่มต้นด้วยการชกต่อยกับเพื่อนฝูงที่ผิดใจกัน และพอขึ้น ป.5 เขารวมตัวกับแก๊งเด็กเกเร ไปหาทำเลดักรีดไถเงินเด็กนักเรียนคนอื่น ก่อนจะพัฒนาเป็นเจ้ามือไพ่ และตีไก่ชน จนยกระดับเป็นการเปิดบ่อนพนันท้ายโรงเรียน

 

  •  ม.3 เขาย้ายมาที่โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล ผลการเรียนที่ย่ำแย่ และก่อความลำบากในโรงเรียนอยู่เป็นนิจ มีการตั้งวงชนไก่ มีการทะเลาะวิวาทมากมาย สุดท้ายประสิทธิ์โดนไล่ออกจากโรงเรียน โดยครูใหญ่ ณ ขณะนั้นได้ทำนายอนาคตไว้ว่า “ถูกไล่ออกจากโรงเรียนแล้ว กูเชื่อว่าอนาคตมึงถ้าไม่ติดคุกก็ตายโหง”

 

  • หลังจากโดนไล่ออก ไม่มีโรงเรียนไหนในกระบี่ รับเขาเข้าเรียนอีก พ่อแม่จึงต้องส่งมาอยู่กับญาติที่กรุงเทพ โดยประสิทธิ์เข้าไปเรียน ปวช. ที่โรงเรียนไทยวิจิตรศิลป์ ซึ่งเจ้าตัวก็ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองไปด้วย เพื่อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

 

  • งานแรกเขาทำเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารสีลมวิลเลจ แต่ทำงานได้แค่ 4 วันก็ไปมีเรื่องกับรุ่นพี่ 

 

  •  หลัง "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" เรียนจบ ปวช. ภาควิชาสถาปัตยกรรม จากไทยวิจิตรศิลป์ ประสิทธิ์ได้งานประจำที่แรกในหมู่บ้านจัดสรร อู่ทองเพลส หน้าที่ของเขาคือตรวจความเรียบร้อยก่อนส่งมอบบ้านให้ลูกค้า ซึ่งเมื่อทำงานได้สักระยะ เขาเริ่มสร้างธุรกิจของตัวเองเป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดกิจการรับเหมาขึ้น เวลาลูกค้าซื้อบ้านไปแล้ว ถ้าอยากจะต่อเติมอะไร เขาก็จะรับเหมาก่อสร้างให้เอง

 

  • ประสิทธิ์ชวนรุ่นพี่รุ่นน้องจากไทยวิจิตรศิลป์ มาร่วมบริษัทด้วยกัน แต่ทำงานได้ไม่ทันไรบริษัทก็ล่มสลาย เพราะพรรคพวกเอาปืนไปยิงคนที่หมั่นไส้ พอตำรวจมาตรวจค้น เจอทั้งอาวุธ ทั้งยาเสพติด จึงโดนจับกันไปหมด แต่ประสิทธิ์ก็ใช้วิธียัดเงินให้ตำรวจเจ้าของคดี เพื่อให้เพื่อนๆรอดจากการติดคุกมาได้อย่างหวุดหวิด

 

  • เมื่อบริษัทรับเหมาปิดตัวลง ประสิทธิ์โดนคดีหนีทหาร ศาลจึงสั่งให้เขาไปเป็นทหารเกณฑ์ทันที โดยไม่ต้องจับใบดำใบแดง ตามปกติชีวิตของทหารเกณฑ์จะลำบาก แต่ประสิทธิ์เข้าไปตีสนิทกับจ่าบุญรอด ซึ่งเป็นทหารที่มีความอาวุโสในกองร้อย ทำให้เขาได้อภิสิทธิ์ในการทำธุรกิจที่ค่ายทหาร เช่น การตั้งโต๊ะโทรศัพท์ ให้ทหารที่คิดถึงครอบครัว มาใช้โทรศัพท์ได้โดยคิดค่าบริการนาทีละ 3-5 บาท โดยรายได้ก็จะแบ่งกันระหว่างประสิทธิ์ กับจ่าบุญรอด

 

  •  หลังเกณฑ์ทหารเสร็จ เขาได้งานใหม่เป็นเซลส์ขายเครื่องแรงดันน้ำ โดยต้องขับรถออกไปขายทั่วประเทศ ปรากฏว่าในช่วง 1 เดือนแรก ประสิทธิ์เดินทางไปทั่วไทย แต่ขายไม่ได้เลย ขณะที่กำลังสิ้นหวังนั้น เขาขับรถไปขายให้ร้านค้าใหญ่ที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีเซลส์ของยี่ห้ออื่นๆ มาต่อคิวเสนอขายก่อนแล้ว ประสิทธิ์ได้คิวเป็นคนสุดท้าย เขาก็นั่งรอไปเรื่อย ๆ ที่จะได้ไปพรีเซ็นต์สินค้าให้เถ้าแก่ได้เห็น

 

  • หลังรอ 3 ชั่วโมง พอถึงคิวเขา เถ้าแก่บอกว่ามาวันหลังละกัน เพราะคุยต่อไม่ไหวแล้ว ประสิทธิ์เล่าว่า “ตอนนั้นก็น้อยเนื้อต่ำใจว่าการเป็นเซลส์มันยากขนาดนี้เลยหรือ แต่พอดี มีอาม่าแก่ๆ เดินออกมาจากร้านพอดี ผมก็ยกมือไหว้แล้วแสดงความสนิทสนมทักทาย ฝากเนื้อฝากตัว จริงๆอาม่าไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย แต่คิดว่าอย่างน้อยๆ เขาก็เป็นแม่เจ้าของร้าน”

 

  • เขาคุยกับอาม่าไปเรื่อย ๆ ชวนคุยถึงเรื่องเก่า ๆ ทำให้อาม่ารู้สึกดี สุดท้ายก็ผลักดันให้เถ้าแก่ซึ่งเป็นลูกชาย ซื้อสินค้าจากบริษัทของประสิทธิ์ในที่สุด นั่นคือออร์เดอร์แรกที่เขาขายได้ และประสิทธิ์ก็พบเทคนิคการขายสำคัญที่เขาจะใช้ต่อไปในระยะยาวด้วยว่า “คนอายุเยอะ เอาใจง่าย เราพูดในสิ่งที่เป็นความประทับใจเก่าๆ เดี๋ยวเขาก็จำเราได้เอง”

 

  • การเข้าหากลุ่มคนสูงอายุ ที่สนใจเรื่องความรู้สึกมากกว่าเหตุผล เป็นเทคนิคปิดการขายของประสิทธิ์ ต่อจากนั้นเขาก็พบเทคนิคที่ 2 นั่นคือ การใช้กลลวงปล่อยข่าวเพื่อสร้างประโยชน์ให้ตัวเอง ตัวอย่างเช่น ประสิทธิ์จะไปบอกร้าน B ว่า ร้าน A สั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ร้าน A ยังไม่ได้สั่ง ซึ่งเมื่อร้าน B ได้ยินดังนั้น ก็จะยอมไม่ได้ และรีบซื้อสินค้าของเขา เพื่อจะได้มีสต็อกของไม่น้อยหน้ากว่าร้าน A

 

  •  ประสิทธิ์หันหน้าเข้าหาธุรกิจใหม่ นั่นคือธุรกิจสีเทา ทำบ่อนพนันในเขตมีนบุรี โดยตอนนี้เขามีคอนเน็กชั่นพร้อม ทำให้การเปิดบ่อนทำได้ง่ายขึ้น

 

  • หลังทำบ่อนพนันได้ 2 ปี  ด้วยความอยากเป็นคนดี ทำธุรกิจสีขาว ประสิทธิ์ออกจากกรุงเทพ ไปเริ่มต้นใหม่ที่บ้านเกิดจังหวัดกระบี่ เขาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยสร้างหมู่บ้านเล็กๆ 8 หลัง และขายได้หมดอย่างรวดเร็ว ได้เงินกำไรมาราวๆ 6 ล้านบาท จากนั้นในปี พ.ศ. 2550 เขาเป็นคนแรกของจังหวัดกระบี่ ที่สร้างคอนโดมิเนียมขึ้น ในบริเวณหาดนพรัตน์ธารา ซึ่งเป็นตึกความสูง 8 ชั้น เป็นตึกที่สูงที่สุดในจังหวัดกระบี่ ขณะนั้น

 

  • ด้วยความที่ขายบ้านจัดสรร และคอนโด ได้สำเร็จในช่วงแรก ทำให้ประสิทธิ์ย่ามใจ กู้เงินไปกว้านซื้อที่ดินเป็นจำนวนมาก และก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเตรียมขายต่อไปเรื่อยๆ แต่ในปี 2551 ที่สหรัฐฯ เกิดวิกฤติซับไพรม์ ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะงักงัน ผู้คนเริ่มไม่อยากซื้ออสังหาฯ เก็บไว้ บ้านที่ทำไว้ของประสิทธิ์ขายไม่ออก เขาหมุนเงินจนชักหน้าไม่ถึงหลัง สุดท้ายในปี 2553 ประสิทธิ์มีหนี้สิ้นทั้งกับแบงค์ และหนี้นอกระบบ รวมแล้ว 1,000 ล้านบาท

 

  •  ประสิทธิ์ไม่เคยเปิดเผยว่า เขาใช้วิธีไหน ทำการปลดหนี้ 1,000 ล้านบาทได้ แต่เล่าเพียงว่าไม่ยอมแพ้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ค่อยๆเจรจากับเจ้าหนี้ยืดเวลาจ่ายออกไปก่อน สุดท้ายภายในเวลา 3 ปี เขาจะปลดหนี้สินระดับพันล้านได้หมด ถือเป็นปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์และแปลกประหลาด

 

  •  ปี 2556 ประสิทธิ์ที่ฟื้นตัวจากภาวะติดหนี้สินได้แล้ว ก่อตั้งบริษัท เว็บ สวัสดี จำกัด (มหาชน) และเป็นประธานบริหารบริษัทอีก 10 บริษัท ความเข้าใจของคนทั่วไปเชื่อว่าเขามีธุรกิจรีสอร์ท และธุรกิจทัวร์ ดังนั้นก็มีแนวโน้มจะทำเงินได้เยอะจากภาคการท่องเที่ยวไทย

 

  • ประสิทธิ์เริ่มก่อตั้งสมาคมการค้าธุรกิจบริหารและผลิตภัณฑ์ผสมผสาน (BCSCP) ขึ้น โดยสมาคมนี้ จัดโครงการ 2 อย่างพร้อมๆกันนั่นคือ 1-โครงการคืนคุณแผ่นดิน เน้นการให้ความรู้เชิง SME กับนักธุรกิจรายย่อย และ 2- โครงการตลอดทั้งปีทำดีเพื่อพ่อ เป็นการรณรงค์ให้ทุกคนทำความดี ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 

  • ในเว็บไซต์ prasitjeawkok.com ให้รายละเอียดโครงการที่เขาทำว่า ต้องการเน้นสร้างความเข้าใจและแสดงข้อเท็จจริง เพื่อให้สังคม และเยาวชน เข้าใจในสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการใช้ทุกช่องทางในการสื่อสารเรื่องพระราชกรณียกิจของทุกพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตัวโครงการในช่วงแรกไม่มีการระบุอย่างชัดเจนว่าจะทำอะไร แต่จะเน้นหลักไปที่คีย์เวิร์ดคือ การทำความดี 

 

  • นายประสิทธิ์อ้างว่า เขาทำธุรกิจได้เงินมากมาย แต่จะเอารายได้ 90% ของตัวเอง มาใช้ในการกุศลเพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน โดยจัดทำหลายๆโครงการเช่น โครงการพัฒนา 10 หมู่บ้านทั่วไทย, โครงการรับบริจาคยาเหลือใช้ เพื่อผู้ยากไร้ชายแดน และ มีการก่อตั้งแอพพลิเคชั่น M-Help Me เป็นแอพสำหรับแจ้งเตือนภัยต่างๆ

 

  •  ด้วยการสร้างภาพลักษณ์เป็นคนยอมควักเนื้อ เพื่อจัดกิจกรรมการกุศล และบริจาคเงินมากมายให้องค์กรรัฐ ทำให้ประสิทธิ์ได้รางวัล “คนทำดีต้นแบบสังคมแห่งปี 2558 คนดีเพื่อพ่อ” จากสถาบันปกเกล้า ตามด้วยรางวัลผู้สนับสนุนการทำดี จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

 

  •  นายประสิทธิ์ เรียกแทนตัวเองว่าเป็น “แจ๊ค หม่า เมืองไทย” โดยกล่าวว่าเขาเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรม AI ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เป็นผู้คิดค้นแอพพลิเคชั่น M Singing และเป็นวิทยากรพิเศษ ให้นักศึกษา อาจารย์ และหน่วยงานต่างๆทั่วประเทศ ในหัวข้อ “การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สร้างตน สร้างพลังด้วยความดี”

 

  • ตั้งแต่ คสช. ทำการรัฐประหารในปี 2557 นายประสิทธิ์มีความเชื่อมโยงกับภาครัฐ และหน่วยงานทหารมากขึ้นอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่นมีการนำนักธุรกิจจีนเข้าพบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ มีการถ่ายรูปกับพล.ท.ธรัช สุกปลั่ง แม่ทัพภาคที่ 2 และ มีการมอบพระเครื่องเป็นขวัญกำลังใจให้ทหารในจังหวะ 3 ชายแดนใต้ รวมถึงเป็นพลเรือนคนเดียวที่ได้ถ่ายรูปร่วมกับผู้นำกองทัพ ในวันสถาปนากรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์อีกด้วย

 

  •  ขณะที่ความสัมพันธ์ กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี นายประสิทธิ์ได้ระบุไว้ในหนังสือชีวประวัติของตัวเองว่า “ได้รับเกียรติจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้มาติดตามงาน สานใจไทยสู่ใจใต้ ให้ประชาสัมพันธ์งาน และประสานงานในเรื่องพร้อมทำรายการทีวี ทาง ททบ.5 ในรายการคืนคุณแผ่นดิน เพื่อสังคมและประชาชน” นอกจากนั้นยังมีภาพ ที่เขาถ่ายร่วมกับพล.อ.เปรม ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์อีกด้วย

 

  • อย่างไรก็ตาม พล.อ.พิศณุ พุทธวงศ์ อดีตหัวหน้าสำนักงานของพล.อ.เปรม ได้อธิบายว่า นายประสิทธิ์เคยมาเจอกัน แล้วเล่าว่าเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดกระบี่ อยากจะทำโครงการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน แต่สืบข้อมูลมาว่านายประสิทธิ์เป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ จึงไม่อนุญาตให้เข้าพบพล.อ.เปรม ส่วนเรื่องการเข้ามาอวยพรที่สี่เสาเทเวศร์ รายงานว่าในวันสำคัญต่างๆ พล.อ.เปรม จะให้ตัวแทนภาครัฐและประชาชนทั่วไปเข้ามาอวยพรได้ตามปกติ

 

  • วันที่ 26 เมษายน 2562 นายประสิทธิ์ เปิดโครงการ “จิตอาสาทำความดี เพื่อแผ่นดิน” โดยใครที่เล่าเรื่องการทำความดีของตัวเองลงในแอพพลิเคชั่น M-Help Me รับไปเลยฟรี เสื้อเหลืองประดับตราสัญลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 หรือ หมวกสีฟ้าประดับตราสัญลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 

 

  •  นายประสิทธิ์ สร้างภาพลักษณ์ความเป็นคนดีให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการซื้อมีเดีย เพื่อประโคมความเป็นคนดีและความน่าเชื่อถือของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรายการคนค้นคน ของทีวีบูรพา ใน ep.ชื่อ “ลมหายใจเพื่อแผ่นดิน” หรือการติดต่อให้แอ๊ด คาราบาว แต่งเพลงชื่อ “ประสิทธิ์ ผู้ให้” ซึ่ง ยังไม่นับรายการดังๆอีกมาก ในช่องทีวีกระแสหลัก ที่นายประสิทธิ์ไปออก เช่น เจาะใจ, โหนกระแส หรือ ตีสิบ เป็นต้น ยิ่งเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตัวเองมากขึ้น

 

  •  วันที่ 1 ธันวาคม 2563 นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า เปิดเผยถึงขบวนการ IO ของกองทัพ ที่ใช้ประชาสัมพันธ์ด้านบวกของทหาร และโจมตีใส่ร้ายผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยระบุว่า บริษัทเอกชนของนายประสิทธิ์ เป็นคนให้กองทัพใช้เซิร์ฟเวอร์ในการปฏิบัติการ IO ครั้งนี้

 

  • นอกจากนั้น พรรณิการ์ ยังชี้ให้เห็นว่า นายประสิทธิ์มีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล เพราะอยู่ๆก็โด่งดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นอกจากนั้นโมเดลธุรกิจก็มีความแปลกประหลาด แถมบริษัทของตัวเอง 18 จาก 20 บริษัท ก็ขาดทุนหนักถึงขั้นล้มละลาย ดูแล้วมีแนวโน้มว่าจะเป็นเป็นบุคคลอันตรายได้

 

  • อย่างไรก็ตาม นายประสิทธิ์ ออกมาตอบโต้ทันทีว่าเขาอาจจะอยู่เบื้องหลัง IO ก็จริง แต่ก็เป็นการทำความดีเพื่อสถาบัน พร้อมสวนกลับคณะก้าวหน้าว่าผิดหรือที่ต้องการให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวปลอม “ผมไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่รักในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างที่สุด” นายประสิทธิ์กล่าว

 

  •  วันที่ 3 ธันวาคม พรรณิการ์ กับ ประสิทธิ์ มาออกรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ ทางไทยรัฐทีวี ระหว่างการโต้เถียงกัน ประสิทธิ์แกะกระดุมเสื้อเปิดหน้าอก มีรอยสักคำว่า “ทรงพระเจริญ” อยู่ด้านใน พร้อมกล่าวว่า “ถ้าผมเป็น IO จริง ผมก็เป็น IO ดีละกัน”

 

  • เหตุการณ์ผ่านไป จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 ตำรวจกองปราบปราม เปิดปฏิบัติการ “ปิดเกมส์คนเหนือโลก” โดยเปิดเผยว่า ความจริงแล้วประสิทธิ์ เจียวก๊ก ได้เปิดบริษัทเครือข่ายเพื่อหลอกเงินจากนักลงทุนหลายรูปแบบ อ้างว่าจะได้ผลตอบแทนสูง แต่สุดท้ายไม่ได้จริง

 

  • ตัวอย่างเช่น มีการขายแพ็คเกจท่องเที่ยว ในโครงการ”เที่ยวเพื่อชาติ” ราคา 50,000 บาท โดยอ้างว่า สามารถใช้จองห้องโรงแรม เข้าสปา ซื้ออาหารบุฟเฟ่ต์ได้เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท เป็นต้น โดย พ.ต.อ. นิตติโชติ เพ็ญจำรัส ระบุว่ารูปแบบการโกงของแก๊งนี้ “เป็นการเปิดบริษัทท่องเที่ยว ชักชวนผู้เสียหายซื้อแพ็คเกจทัวร์ แต่สุดท้ายไม่มีการจัดท่องเที่ยวจริง” กลายเป็นว่าบริษัทได้เงินก้อนไปเฉยๆ

 

  • รวมถึงหลอกเงินชาวบ้านมาลงทุนในรูปแบบสหกรณ์อ้างว่าจะได้เงินปันผลสูง ชาวบ้านหลายคนเอาเงินเก็บทั้งชีวิตมาฝากไว้ เพราะเชื่อใจในภาพลักษณ์ความเป็นคนดี แต่สุดท้ายไม่ได้ทั้งเงินปันผล และเงินก้อนที่ฝากไว้ไปขอคืนก็ไม่ได้คืน แถมยังขู่กลับด้วยว่า ถ้าใครไปแจ้งความจะถูกระงับบัญชี และฟ้อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

 

  • กองปราบปรามเปิดเผยว่าคดีนี้มีผู้ต้องหา 6 คน และประสิทธิ์เป็นตัวการสำคัญ “ผู้ต้องหาได้ตั้งบริษัทขึ้นมาในลักษณะเครือข่ายขนาดใหญ่ เพื่อชักชวนให้ผู้เสียหายมาร่วมลงทุนหลายรูปแบบ อ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง ช่วงแรกๆ ก็จ่ายเงินค่าตอบแทนจริง เพื่อให้ผู้เสียหายตายใจ นำเงินมาลงทุนเพิ่มอีก แต่หลังจากนั้นก็เริ่มบ่ายเบี่ยง ไม่จ่ายเงินผลตอบแทน และไม่คืนเงินลงทุนให้ผู้เสียหาย ที่ผ่านมามีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 1 พันราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 1 พันล้านบาท”

 

  •  นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า พาผู้เสียหายอีก 30 คน มาร้องเพิ่มเติมที่กองปราบ โดยกล่าวว่า “ที่ผ่านมานายประสิทธิ์ มักจะสร้างภาพลักษณ์เป็นคนดี เสียสละ เหยื่อจึงหลงเชื่อถูกหลอกหมดตัว เท่าที่ทราบบางคนเครียดถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย”

 

  • วันที่ 17 พฤษภาคม นายประสิทธิ์ เดินทางมามอบตัวที่กองปราบ ยืนยันว่า มีข้อมูลชี้แจงและพร้อมสู้คดีทางกฎหมาย โดยกล่าวว่า “อยากให้สังคมแยกแยะระหว่างการระดมทุนทางธุรกิจ กับธุรกิจเครือข่าย” พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาโกงแต่เป็นการทำธุรกิจล้วน ๆ โดยตำรวจใช้เวลาสอบสวนยาวนานกว่า 9 ชั่วโมง ก่อนสุดท้ายจะไม่ยอมให้ประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายสูง ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่นายประสิทธิ์มามอบตัวนั้น มีการปะทะกันอย่างหนักของกลุ่มผู้เสียหายที่โดนหลอกเงิน กับกลุ่มกองเชียร์ของนายประสิทธิ์อีกด้วย จนเกือบจะตบตีกันที่หน้ากองปราบปราม

 

  • 22 ธ.ค.2565 ประสิทธิ์ เจียวก๊ก ขึ้นศาลในคดีฉ้อโกง แต่วางแผนหลบหนี โดยการขอเข้าห้องน้ำ แต่ถูกรวบตัวได้ก่อนที่จะหนีสำเร็จ ขณะนี้ศาลกำลังสอบสวนภาพจากกล้องวงจรปิดว่าใครเป็นผู้ช่วยเหลือนายประสิทธิ์ในการหลบหนี

 

รวบประสิทธิ์ เจียวก๊ก