ข่าว

ศาลปกครอง สั่งเพิกถอนประกาศ กทม.ขึ้นค่าโดยสาร 'รถไฟฟ้าสายสีเขียว'

ศาลปกครอง สั่งเพิกถอนประกาศ กทม.ขึ้นค่าโดยสาร 'รถไฟฟ้าสายสีเขียว'

12 เม.ย. 2566

ศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนประกาศ กทม.เรื่องขึ้นค่าโดยสาร "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" แม้ กทม.มีอำนาจแต่ต้องปฏิบัติตามมติ ครม.ที่ให้ร่วมกับ ก.คมนาคม กำหนดอัตราที่เหมาะสมเป็นธรรม ชี้ภาระหนี้สินเป็นหน้าที่รัฐและ กทม.ต้องร่วมแก้ไข

12 เม.ย.2566  ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศกรุงเทพมหานคร  ลงวันที่ 15 ม.ค. 64 เรื่องการกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ออกประกาศดังกล่าว 


สืบเนื่องจากนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และพวกรวม 6 คน ยื่นฟ้อง กทม.และผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ขอให้ศาล มีคำพิพากษาเพิกถอนหรือยกเลิกประกาศเรื่องการกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ลงวันที่ 15 ม.ค. 2564 และให้สั่งระงับการดำเนินการใดๆ ตามประกาศ คือการปรับขึ้นค่าโดยสารไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุด
 

 

 

 

ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาโดยให้เหตุผลว่า แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติรับรองให้ กทม.ซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระแต่การใช้อำนาจบริหารราชการและการจัดทำบริการสาธารณะของกทม.โดยผู้ว่าฯ กทม. ก็ยังต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลตามหลักการกระจายอำนาจทางปกครองของรัฐ
  

ดังนั้นการจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งแม้จะอยู่ในความรับผิดชอบของ กทม.และเป็นอำนาจของผู้ว่าฯ กทม.ที่สามารถกระทำได้ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวมิได้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ใน กทม.เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงพื้นที่เขตปริมณฑลและเป็นโครงการที่รัฐบาลกำหนดไว้ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางใน กทม.และปริมณฑล 

 

นอกจากนี้ยังมีโครงการระบบขนส่งมวลชนโดยรถไฟฟ้าสายอื่นๆ อันเป็นบริการสาธารณะที่รัฐจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์บรรเทาปัญหาการจราจรและเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่มีประสิทธิภาพให้กับประชาชนลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้การจราจรติดขัด 

 

เพื่อให้การจัดทำบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชนของรัฐเกิดการบูรณาการทางด้านการเดินรถให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้ใช้บริการในการเดินทางการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมของโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ การจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของ กทม.จึงต้องพิจารณาโดยภาพรวมให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ 

 

 

 

ดังนั้น กทม.จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติครม.วันที่ 26 พ.ย. 2561 คือต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม ในการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการมากเกินไป ทั้งต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลตามความเห็นกระทรวงการคลัง รวมทั้งพิจารณากำหนดค่าโดยสารให้เหมาะสมสอดคล้องกับค่าครองชีพของผู้ใช้บริการด้วย

 

เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนคดีไม่ปรากฏว่าก่อนการดำเนินการออกประกาศเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว กทม.โดยผู้ว่าฯ กทม.ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง ในการพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารตามที่ ครม.มอบหมายกรณี จึงเป็นการกระทำโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ส่วนที่ กทม.อ้างว่าได้ปฏิบัติตามมติ ครม.วันที่ 26 พ.ย. 2561 แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำให้การของ กทม.และผู้ว่าฯ กทม.เป็นกรณีการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินงานที่มี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานคณะกรรมการเพื่อทำการศึกษาบูรณาการเกี่ยวกับการรับโอนและบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยไม่ปรากฏว่า กทม.ได้ร่วมกับกระทรวงคมนาคม พิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารตามที่ ครม.มอบหมายแต่อย่างใดข้ออ้างดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

 

ส่วนที่ระหว่างการพิจารณาคดี กทม.ได้ออกประกาศลงวันที่ 8 ก.พ. 2564 ให้เลื่อนการจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปก่อน และปัจจุบันยังไม่มีการจัดเก็บค่าโดยสารตามประกาศพิพาทก็ตาม แต่กรณีก็ย่อมจะเห็นได้ว่าประกาศกรุงเทพมหานครฉบับลงวันที่ 8 ก.พ. 2564 ดังกล่าวไม่ได้มีผลเป็นการยกเลิกหรือเพิกถอนประกาศที่พิพาท ซึ่งเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเป็นเหตุแห่งคดีพิพาทจึงยังไม่หมดสิ้นไปการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายจึงต้องมีคำบังคับของศาล
   

สำหรับประเด็นที่ กทม.อ้างว่าการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น กทม.มีภาระหนี้สินจำนวนมากที่ค้างจ่ายกับเอกชน อีกทั้งไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลหากไม่ได้รับการแก้ไขย่อมส่งผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต้องหยุดชะงัก จึงจำเป็นต้องออกประกาศผิดพลาดเพื่อเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการนั้นเห็นว่า แม้ กทม.จะมีอำนาจตามกฎหมายในการเรียกเก็บค่าบริการสำหรับการให้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในส่วนของที่ กทม.รับผิดชอบได้แต่เมื่อ ครม.มีมติมอบหมายให้ กทม.ต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคมเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการเกินสมควรเร่งรัดและพิจารณาการใช้ระบบตั๋วร่วมให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล

 

ดังนั้นการดำเนินโครงการรถไฟสีเขียวเฉพาะในส่วนนี้จึงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ภาระหนี้สินจำนวนมากที่อ้างนั้นอาจเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องหรือเชื่อมโยงกัน เช่น การบริหารสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก  การเจรจาต่ออายุสัมปทาน การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชนผู้รับสัมปทาน การจัดทำร่างสัญญาสัมปทานฉบับแก้ไข ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลและ กทม.ต้องพิจารณาแก้ไขร่วมกันต่อไปโดยปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนโดยคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนระหว่างประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ส่วนรวมที่จะได้รับกับภาระหรือผลกระทบที่จะเกิดกับเอกชนประกอบกันด้วย