'โอไมครอน XBB.1.16' ป้องกันอย่างไร รักษาแบบไหน จับตาแอนติบอดีสำเร็จรูป
'โอไมครอน XBB.1.16' จะป้องกันได้อย่างไร รักษาได้แบบไหนบ้าง พร้อมจับตา แอนติบอดีสำเร็จรูป "หนึ่งเดียว" สามารถทำลาย โอไมครอน สายพันธุ์ย่อย
'โอไมครอน XBB.1.16' จะตรวจจับกันอย่างไร ป้องกัน และรักษากันแบบไหน ซึ่งในประเทศไทยพบ XBB* ประมาณร้อยละ 52 และ XBB.1.16 ร้อยละ 9.4 พร้อมจับตาแอนติบอดีสำเร็จรูป "หนึ่งเดียว" ที่สามารถทำลายโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1, XBB.1.5 และ XBB.1.16
ล่าสุด องค์การอนามัยโลก ประกาศอัปเกรดให้ XBB.1.16 จาก 'สายพันธุ์ภายใต้การตรวจสอบ' เป็น 'สายพันธุ์ที่น่าสนใจ' แต่ยังไม่ถึงขั้น 'สายพันธุ์ที่น่ากังวล'
WHO จัดให้ XBB.1.16 เป็น สายพันธุ์ที่น่าสนใจ
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้อัปเกรดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.16 เป็น 'สายพันธุ์ที่น่าสนใจ' เนื่องจาก การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง และ ข้อได้เปรียบของ XBB.1.16 ในการเติบโต-แพร่ระบาด เหนือกว่าสายพันธุือื่นจากหลายประเทศ
'โอไมครอน XBB.1.16' พบครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มกราคมปีนี้ และองค์การอนามัยโลกปรับให้เป็นสายพันธุ์ภายใต้การตรวจสอบ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม
องค์การอนามัยโลกแจ้งว่าจนถึงขณะนี้ มีการรายงานรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมบนฐานข้อมูลโควิดโลกจีเสส (GISAID) ของ โอไมครอน ลูกผสม XBB.1.16 จำนวน 3,648 ตัวอย่างจาก 33 ประเทศ รวมทั้งอินเดีย ในขณะที่(ยังไม่มี) รายงานการเปลี่ยนแปลงความรุนแรง
องค์การอนามัยโลกตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโอไมครอน XBB.1.16 และเจ็บป่วยต้องรักษาตัวในอินเดียและอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ระดับนี้ ต่ำกว่าที่เห็นในการระบาดระลอกก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ข้อมูลที่มีอยู่ไม่ได้บ่งชี้ว่า โอไมครอน XBB.1.16 มีความเสี่่ยงด้านสาธารณสุขเพิ่มเติมเมื่อเทียบกับโอไมครอน XBB.1.5 ที่เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้
ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญบางคนตั้งชื่อเล่นให้ 'โอไมครอน XBB.1.16' ว่า อาร์คทูรัส (Arcturus) ตามชื่อดาวที่สว่างที่สุดในซีกโลกเหนือ อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลก จะไม่ตั้งชื่อให้กับโอไมครอน XBB.1.16 องค์การอนามัยโลกจะกำหนดชื่อภาษากรีกให้เฉพาะโควิด 'สายพันธุ์ที่น่ากังวล' เท่านั้น จะไม่ตั้งให้กับ 'สายพันธุ์ที่น่าสนใจ' หรือ 'สายพันธุ์ภายใต้การตรวจสอบ'
การรักษาด้วยแอนติบอดีสำเร็จรูป
การรักษาการติดเชื้อโอไมครอนลูกผสมกลุ่ม XBB* อันรวมถึง XBB.1.16 ด้วยแอนติบอดีสำเร็จรูปในกลุ่มเปราะบางที่ติดเชื้อโควิดในบางกรณีแพทย์อาจให้ยาแอนติบอดีสำเร็จรูป (monoclonal antibody) เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันในทันที เพื่อต่อสู้กับเชื้อโควิดในร่างกาย อาทิ
แบมลานิวิแมบ (Bamlanivimab/LY-CoV555) มีเป้าหมายเข้าจับกับโปรตีนหนามของ ไวรัสโควิด-19 ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์
อีเทเสวิแมบ (Etesevimab/LY-CoV016) มักใช้ร่วมกับ แบมลานิวิแมบ เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
คาซิริวิแมบ (Casirivimab/REGN10933 และ อิมเดวิแมบ (Imdevimab/REGN10987) มีเป้าหมายที่โปรตีนหนามของไวรัสโควิด -19 เมื่อใช้ร่วมกันในรูปยาผสมจะเรียกว่า โรนาพรีเว่ (Ronapreve หรือ REGEN-COV สามารถลดความเสี่ยงของโควิด-19 รุนแรงได้
โซโทรวิแมบ (Sotrovimab/VIR-7831) เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดีชนิดเดียวในปัจจุบันที่สามารถจับกับส่วนหนามและทำลายโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1, XBB.1.5, และ XBB.1.16 ลงได้ ลดความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มโอไมครอน XBB*
สถาบันสาธารณสุข โรเบิร์ต ค็อค (Robert Koch Institute/RKI) ประเทศเยอรมัน แนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัส แพกซ์โลวิด, เรมเดซิเวียร์ (Paxlovid, Remdesivir) และ แอนติบอดีสำเร็จรูป โซโทรวิแมบ (Sotrovimab) ในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19
โทซิลิซูแมบ (Tocilizumab) จากการวิจัยพบว่าสามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงของโควิด-19 ได้ ซึ่งเข้าระงับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มากเกินไปหรือที่เรียกว่า "พายุไซโตไคน์" อันนำไปสู่การอักเสบรุนแรง อาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS)
ซิลกาวิแมบ และ ทิซาจวิแมบ (Cilgavimab & Tixagevimab) - โมโนโคลนอลแอนติบอดีเหล่านี้มีเป้าหมายที่ส่วนต่างๆ ของโปรตีนของไวรัสโควิด-19 เมื่อใช้ร่วมกันเรียกว่า อีวูเชลด์ (Evusheld/AZD7442) เป็นยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long-acting Antibody - LAAB) ซึ่งได้รับการพัฒนาเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส
การรักษาการติดเชื้อโอไมครอนลูกผสมกลุ่ม XBB* อันรวมถึง XBB.1.16 ด้วย ยาต้านไวรัส จากข้อมูลล่าสุดพบว่ายาต้านไวรัส เรมเดซิเวียร์ (ให้ทางเส้นเลือดดำ), มอลนูพิราเวียร์, แพกซ์โลวิด, และเอนซิเทรลเวียร์ (remdesivir, molnupiravir, Paxlovid, and ensitrelvir) ซึ่งใช้รับประทานยังคงสามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ XBB, XBB.1.5 และน่าจะรวมถึง XBB.1.16 ได้เป็นอย่างดี ยังไม่พบเชื้อโควิด-19 ดื้อยา
การป้องกันด้วยวัคซีน
ทีมวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นได้แสดงให้เห็นว่า XBB.1.16 สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ผู้ติดเชื้อได้รับจากการติดเชื้อ โอไมครอน BA.2 มาก่อนประมาณ 18 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม (B.1.1) ในขณะที่ XBB.1.16 หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ผู้ติดเชื้อได้รับจากการติดเชื้อโอไมครอนBA.5 มาก่อนประมาณ 37 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม (B.1.1) แสดงให้เห็นว่าภูมิคุ้มกันที่เราได้มาจากการฉีดวัคซีนรุ่นแรกและ วัคซีนเข็มกระตุ้น ชนิดสองสายพันธุ์ (bivalent covid-19 booster) หรือภูมิคุ้มกันผู้ที่เคยติดเชื้อโอไมครอน BA.2 หรือ BA.4/BA.5 มาก่อนอาจไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อโอไมครอน XBB.1, XBB.1.5, และ XBB.1.16 ได้ดีนัก แต่จะช่วยป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงหรือการเสียชีวิตจากปอดอักเสบได้ดีไม่แตกต่างจากโอไมครอนสายพันธุ์อื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ
เหตุที่หลายฝ่ายคาดว่า 'โอไมครอน XBB.1.16' จะมาแทนที่ทุกสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบันอาจเนื่องมาจาก 1. มีการกลายพันธุ์โดยเฉพาะส่วนหนามแตกต่างจากโอไมครอน XBB.1.5 และ/หรือ 2. มีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงโครงสร้างโปรตีนส่วนอื่นที่ไม่ใช่ส่วนหนามร่วมด้วยอันอาจมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) ของไวรัส