'XBB.1.5' ต้นแบบผลิต 'วัคซีนโควิด' ฤดูกาลใหม่ แนะใช้แบบ สายพันธุ์เดียว
WHO - US FDA แนะ ผลิต 'วัคซีนโควิด' แบบสายพันธุ์เดียว 'วัคซีนโมโนวาเลนต์' เลือก โอไมครอน 'XBB.1.5' เป็นต้นแบบผลิตฤดูกาลใหม่ 2566-2567
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เผยแพร่ข้อมูล องค์การอนามัยโลก (WHO) และ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ประสานเสียงเสนอให้บริษัทผู้ผลิต 'วัคซีนโควิด' เปลี่ยนมาใช้ โอไมครอน สายพันธุ์เดียว XBB เป็นหัวเชื้อหรือต้นแบบในการผลิต 'วัคซีนโมโนวาเลนต์' พร้อมแนะนำให้ประเทศต่างๆ ควรเตรียมตัวเปลี่ยนมาใช้วัคซีน XBB เพื่อให้ทันต่อการป้องกันการติดเชื้อ และทันต่อการป้องกันการเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อกลายพันธุ์ในปีหน้า (พ.ศ. 2567) แทนการฉีดวัคซีน 2 สายพันธุ์ (อู่ฮั่น+โอไมครอน BA.4/BA.5) หรือ 'วัคซีนไบวาเลนต์'
ซึ่งได้มีการนำมาใช้ในช่วงปีนี้ (พ.ศ. 2566) และเพื่อให้การผลิตวัคซีนถึงประชาชนอเมริกันในเดือน ก.ค. 2566 สามบริษัทซึ่งผลิต วัคซีน mRNA และ วัคซีนชิ้นส่วนโปรตีนของ โควิด-19 (protein subunit) จึงเลือกใช้ 'โอไมครอน XBB.1.5' เป็นต้นแบบในการผลิตวัคซีนสำหรับใช้ในช่วงฤดูกาล พ.ศ. 2566-2567
ประชากรสหรัฐที่เข้ารับการฉีด วัคซีนไบวาเลนต์ เพียง 17% ของประชากรทั้งประเทศซึ่งเท่ากับ 56.5 ล้านคน โดยเป็นผู้สูงอายุอย่างน้อย 35% และอาจสูงถึง 50% (จาก 56.5 ล้าน) ผู้สูงอายุจำนวนมากไม่ได้เข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้นเพราะคิดว่าไม่จำเป็นหรือบางคนกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียง หรือกังวลที่วัคซีนอาจทำปฏิกริยากับยาที่พวกเขากำลังใช้อยู่ประจำ
อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีน เข็มกระตุ้น ที่มีมากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงในประชาชนส่วนใหญ่ การฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น จะช่วยปกป้องผู้ติดเชื้อจากการเจ็บป่วยที่รุนแรงและการเสียชีวิตได้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐแนะนำให้ผู้ใหญ่ทุกคนที่อายุเกิน 50 ปีเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยไม่ต้องคำนึงว่าพวกเขาจะเคยติดเชื้อ โควิด-19 มาก่อนหรือไม่
จากข้อมูลการทดสอบวัคซีนเบื้องต้นยังแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีน XBB.1.5 โมโนวาเวนต์ สามารถสร้างแอนติบอดีที่ขัดขวางโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอื่นในกลุ่ม XBB เช่น XBB.1.16, XBB.2.3 ไม่ให้จับกับเซลล์ของมนุษย์และแพร่เชื้อได้ ทั้งนี้จากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมก่อนหน้านี้พบว่าในกลุ่ม โอไมครอน XBB มีการกลายพันธุ์ต่างกันเพียง 2-3 ตำแหน่งบนส่วนของหนาม ต่างกับการกลายพันธุ์ระหว่างโอไมครอน BA.4 และ BA.5 ซึ่งแตกต่างกันถึง 28 ตำแหน่ง
นั่นหมายความว่าการฉีด วัคซีน XBB.1.5 จะกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีที่สามารถเข้าจับและทำลาย โอไมครอน ในกลุ่ม XBB ได้ทั้งกลุ่ม เนื่องจากมีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามต่างกันไม่มาก
อย่างไรก็ดีข้อเสนอจาก WHO และ FDA เป็นเพียงคำแนะนำประเทศต่างๆและผู้ผลิตวัคซีนพิจารณาเองว่าจะดำเนินการหรือไม่ หาดำเนิการจะใช้วัคซีนชนิดใด หรือผลิตวัคซีนด้วยโควิดสายพันธุ์ใด อย่างไรก็ตามคำแนะนำของ WHO และ FDA เป็นการบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า 'วัคซีนโควิด' สายพันธุ์ XBB ชนิดโมโนวาเลนต์น่าจะเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องผู้คนจากโควิด-19 ที่จะมีการระบาดในปีหน้า
องค์การอนามัยโลก (WHO) และ องค์การอาหารและยาของสหรัฐ (US FDA) แถลงว่าปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆให้เห็นว่าวิวัฒนาการของไวรัสโคโรนา 2019 ชะลอตัวหรือลดลง
'วัคซีนโควิด' ในอนาคตควรเป็นวัคซีนสายพันธุ์เดียว หรือ วัคซีนโมโนวาเลนต์ (covid-19 monovalent vaccine) ที่กำหนดเป้าหมายไปที่โอมิครอน XBB.1.5, XBB.1.16 หรือ XBB.2.3
เนื่องจากปัจจุบันพบสายพันธุ์ย่อย XBB มากกว่า 95% ของสายพันธุ์ไวรัสที่หมุนเวียนระบาดอยู่ในสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566
สายพันธุ์ XBB หลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากกว่าสายพันธุ์ย่อยโอไมครอนก่อนหน้า และปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 95% ของผู้ป่วยโควิดทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกา พบสายพันธุ์ XBB จำนวน 8 สายพันธุ์คิดเป็นกว่า 98% ของผู้ป่วยทั้งหมดในปัจจุบัน โดยมี 3 สายพันธุ์หลักโอไมครอน XBB.1.5 จำนวน 40% และ XBB.1.16 ประมาณ 18% และ XBB.2.3 ประมาณ 6% ตามลำดับ
สำหรับประเทศไทยพบสายพันธุ์โอไมครอนจากฐานข้อมูลโควิดโลก จีเสส (GISAID) ระหว่าง 1 พ.ค. - 15 มิ.ย. 2566 จำนวน 658 ราย พบเป็นสายพันธุ์
- XBB* ประมาณ 95.6%
- XBB.1.5* ประมาณ 17.5%
- XBB.1.16* ประมาณ 35.6%
- XBB.1.9* ประมาณ 13.5%
- XBB.2.3* ประมาณ 4.7%
โอไมครอน XBB.1.16, XBB.1.9 และ XBB.2.3 คาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นมาและแทนที่ XBB.1.5 ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2566
การประเมินประสิทธิผลของวัคซีนสองสายพันธุ์ (covid-19 bivalent vaccine) ล่าสุดในผู้ใหญ่ชี้ให้เห็นว่าการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 ลดลงจาก 62% ใน 2 เดือนแรกหลังการฉีดวัคซีนเหลือเพียง 24% ใน 4 เดือนหลังจากการฉีดวัคซีน ดังนั้นประชาชนในกลุ่มเปราะบางจึงควรพิจารณาเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น
องค์การอนามัยโลก ได้แนะนำให้ผู้ผลิต 'วัคซีนโควิด' เปลี่ยนไปผลิตวัคซีนสายพันธุ์ XBB แบบโมโนวาเลนต์ในฤดูกาล 2566-2567 คำแนะนำนี้มาจากความจริงที่ว่าสายพันธุ์ XBB เป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นของ ไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกในขณะนี้ และพวกมันสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าและหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ซึ่งหมายความว่าผู้ที่เคยได้รับวัคซีนหรือติดเชื้อสายพันธุ์ก่อนหน้า โอไมครอน XBB ยังจะไวต่อการติดเชื้อและมีอาการป่วยจากสายพันธุ์ XBB ได้ วัคซีนสายพันธุ์ XBB ชนิดโมโนวาเลนต์จะมีประสิทธิภาพมากกว่าวัคซีนรุ่นเดิมในการปกป้องผู้คนจากการติดเชื้อโอไมครอนและป้องกันอาการรุนแรงจากการติดเชื้อโอไมครอนกลายพันธุ์ที่จะระบาดในอนาคต
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ประเทศต่างๆ ยังใช้วัคซีนไบวาเลนต์ที่มีอยู่ต่อไปตลอดฤดูกาล 2565-2566 แต่ควรเริ่มวางแผนปรับเปลี่ยนไปใช้ วัคซีนสายพันธุ์ XBB ชนิดโมโนวาเลนต์ในฤดูกาล 2566-2567 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตวัคซีนมีเวลาเพียงพอในการผลิตและแจกจ่ายวัคซีนใหม่
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารของ องค์การอาหารและยา (FDA) ที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้กล่าวว่าหลักฐานที่มีอยู่บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา 2019 ในปีนี้ควรกำหนดให้สายพันธุ์ XBB เป็นหัวเชื้อหรือต้นแบบในการผลิตวัคซีนในปี 2566-2567 ทั้งยังแนะนำให้ผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนไปผลิตวัคซีนสายพันธุ์ XBB แบบวัคซีนโมโนวาเลนต์สำหรับฤดูกาล 2566-2567 เช่นเดียวกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก
คำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและยาเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในวิธีการพัฒนาและการใช้ 'วัคซีนโควิด' เป็นสัญญาณว่าไวรัสกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ในอนาคต
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกไม่แนะนำให้ใช้สายพันธุ์เก่ามาเป็นหัวเชื้อร่วมกับสายพันธุ์ใหม่ (วัคซีนไบวาเลนต์) แม้ผลกระทบทางคลินิกจะยังไม่ชัดเจนแต่มีหลักฐานในหลอดทดลองบ่งชี้ว่าหากใช้สายพันธุ์เดิมฉีดกระตุ้นซ้ำๆจะทำให้การสร้างแอนติบอดีของเม็ดเลือดขาวต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ไปเล็กน้อยลดประสิทธิภาพลง (การประทับตราภูมิคุ้มกัน : immune imprinting*) จึงควรใช้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่เท่านั้นในการผลิตวัคซีนในอนาคต
การประทับตราภูมิคุ้มกัน (Immune imprinting)
การฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนที่ใช้ไวรัสตัวเดิมซ้ำๆ อาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีกล่าวคือเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "การประทับตราภูมิคุ้มกัน : Immune imprinting" เป็นกระบวนการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราเรียนรู้จดจำรูปลักษณ์ของไวรัสที่ใช้ผลิตวัคซีน เช่น ในกรณีของวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้ไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่นมาโดยตลอด ข้อดีคือจะช่วยให้ร่างกายของเราตอบสนอง(สร้างแอนติบอดี) ได้เร็วขึ้นหากพบไวรัสตัวเดิมอีกในอนาคต
อย่างไรก็ตามหากร่างกายเรากลับพบไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจากสายพันธุ์เดิม เช่น XBB ระบบภูมิคุ้มกันอาจยังคงจดจำรูปแบบเดิมของไวรัสสายพันธุ์เก่าที่เรียนรู้จากการรับวัคซีน "ไม่มูฟออน" ทำให้ไม่สร้างแอนติบอดีต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือสร้างน้อย อุบัติการณ์นี้พบได้ในหลอดทดลองแต่ยังไม่มีความชัดเจนในระบบร่างกายมนุษย์
คำแนะนำของ WHO และ FDA เป็นขั้นตอนเชิงบวกในการต่อสู้กับ โควิด-19 พวกเขาจะช่วยให้แน่ใจว่าผู้คนสามารถเข้าถึงวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่มีอยู่ และจะช่วยปกป้องผู้คนจากสายพันธุ์ที่อันตรายที่สุดของไวรัสในอนาคต