'หมอดื้อ' โต้เดือด ประกาศหยุดพูด 'white clot' หลังโดนกระแสตีกลับ 'mRNA'
'หมอดื้อ' โต้เดือด ประกาศหยุดพูดเรื่อง 'white clot' หลังโดนหลายฝ่ายออกมาโต้แย้งเรื่อง วัคซีนโควิด 'mRNA' ยืนยันไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ สามารถตรวจสอบได้
กลายเป็นประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบจาก วัคซีนโควิด ชนิด 'mRNA' ซึ่ง 'หมอดื้อ' ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อมูล ถึงกรณี การตรวจพบแท่งย้วยสีขาว ที่มีลักษณะคล้ายกับหนวดของปลาหมึกในคนที่ยังไม่ตายหรือตายแล้ว จาก วัคซีนโควิด mRNA ซึ่งภายหลังที่ออกมาพูดเรื่องนี้ ได้มีนักวิชาการและบุคลากรทางการแพทย์หลายคนออกมาโต้แย้งเรื่องดังกล่าว พร้อมขอให้หยุดสร้างความตื่นตระหนก และเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นข่าวลวงออกสู่สาธารณะ
ล่าสุด 'หมอดื้อ' ได้ออกมาประกาศล่าสุดผ่านทางเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha โดยจะยุติการพูดถึง 'white clot' กับ วัคซีน และยืนยันไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ สามารถตรวจสอบได้
"ประกาศให้ทราบทั่วกันนะครับ"
เนื่องจากเรื่องของ 'white clot' กับ วัคซีน เป็นเรื่องที่มีความเห็นต่างและโต้แย้งกันอย่างมาก ทั้งเอาหลักฐานที่จะดิสเครดิตตัวบุคคลรวมทั้งเจ้าของช่อง YouTube ว่าเป็น คนต่อต้านวัคซีน (รวมทั้งตัวหมอเองด้วย) ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น และท่านก็เป็นอาจารย์ทางการพยาบาลแต่ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยทางการแพทย์และศาสตราจารย์ของประเทศอังกฤษมาอย่างยาวนานและในระบบ NHS
หมอจะเลิกพูดถึงเรื่อง 'white clot' นี้ เพราะได้ให้เรื่องราวตามนั้นแล้ว แต่ยังให้ความสำคัญกับผลกระทบของ วัคซีน ที่มีผลต่อการเสียชีวิตความพิการที่เราดูแลอยู่ โดยจุดประสงค์เพื่อการรักษาเยียวยาผู้ป่วยและครอบครัวและเพื่อให้วัคซีนที่เราต้องใช้นั้นมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดอย่างที่ต้องเป็นตามมาตรฐานครับ
บทความและข้อความที่เผยแพร่ไม่เข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของคนป่วย หมอไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ สามารถตรวจสอบได้ว่าไม่เคยรับเงินในการ promote หรือมีเอี่ยวกับสถาบันใด หรือผลิตภัณฑ์ใด
ในส่วนของการได้รับเงินจากโรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิทจากการให้คำแนะนำทางวิชาการเรื่องทางสมองและเงินจำนวน 200,000 บาทนั้น ให้ส่งให้มูลนิธิคณะแพทยศาสตร์จุฬาเพื่อนำมาใช้ในงานวิจัยและบุคลากรที่ทำงานวิจัยโดยมีหลักฐานชัดเจน
ขอบพระคุณทุกท่าน เป็นอย่างสูงครับ
ขณะที่ก่อนหน้านี้ 'หมอดื้อ' ได้โพสต์ข้อมูล ที่มาและความสำคัญของ 'white clot' และ วัคซีนโควิด 'mRNA' โดยมีข้อมูลดังนี้
1. พบในกลางปี 2021 โดยที่ก่อนหน้านี้ไม่เจอ แม้จะมีโควิดระบาด
2. วัคซีน ที่ใช้ในโลกตะวันตกเริ่มประมาณกุมภาพันธ์ 2021
3. พบในคนป่วยทั้งที่ยังมีชีวิต จากการคีบออกมาจากเส้นเลือดหัวใจรวมทั้งปนอยู่ในน้ำในช่องท้องที่เห็นได้จากท่อระบายน้ำจากช่องท้อง และในคนป่วยหลังตายทันที
4. พบมากในศพคนที่ "ตายทันที กระทันหัน" และ มีตั้งแต่อายุวัยรุ่นจนถึงอายุ 30 ที่ปกติแล้วไม่ได้พบการตายกระทันหันเช่นนี้และยังลามไปถึงคนอายุ 50 และแน่นอน คนที่อายุมากกว่านี้ก็พบเช่นเดียวกัน
5. เจ้าหน้าที่จัดการศพที่ให้ข้อมูลเป็นคนที่ ผ่านการอบรมทางวิชาชีพเป็นทางการ และมีประสบการณ์หลาย 10 ปีขึ้นไปจนถึง นานกว่า30ปีโดยไม่พบเห็น white clot เช่นนี้มาก่อนที่จะมีการใช้วัคซีน
6. ในทั้งหมด ของเจ้าหน้าที่ 269 คน มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 20 ปี ถึง 137 คนและทำงานมา 11 ถึง 20 ปีเป็นจำนวนถึง 60 คนด้วยกัน ซึ่งสามารถที่จะวิเคราะห์ได้ว่าก้อนที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของปกติหรือผิดปกติ
7. แต่ละคนนั้นทำการจัดการศพโดยเฉลี่ยปีละ 100 ศพ และมากสุดถึง 300 ต่อปี
8. ในปี 2023 มี white clot ในศพ ประมาณ 20% และ 73% หรือ เจ้าหน้าที่ 197 คน ที่พบแท่งยาวสีขาวนี้ในศพ และอีก 72 คนหรือ 27% ไม่พบ โดยทั้งหมดพบในช่วงประมาณกลางปี 2021 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ทั้งสิ้น แต่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดไม่พบลักษณะนี้ก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของ โควิด และก่อนหน้าที่มีการใช้ วัคซีนโควิด
- เจ้าหน้าที่ 6 รายพบลักษณะผิดปกติเช่นนี้ใน 81 ถึง 100% ของศพ
- เจ้าหน้าที่ 11 รายพบ 61 ถึง 80% ของศพ
- เจ้าหน้าที่ 29 รายพบ 41 ถึง 60% ของศพ
- เจ้าหน้าที่ 48 รายพบ 21 ถึง 40% ของศพ
- เจ้าหน้าที่ 112 รายพบหนึ่งถึง 20% ของศพ
ทั้งนี้อาจจะเป็นความเกี่ยวข้องกับพื้นที่และปัจจัยอื่นๆ ของคนที่เสียชีวิต
9. ในปี 2023 ยังพบลักษณะของ micro-clotting/coffee grounds/dirty bloods ประมาณ 25% โดยที่พบน้อยกว่า 5% ก่อนหน้าโควิดและก่อนหน้าที่มีการใช้วัคซีนโควิด
10. ลักษณะของ 'white clot' นั้น เหมือนกับถูกหล่อมาจากเส้นเลือดไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดดำหรือแดงมีลักษณะเป็นแท่งหรือเป็นเส้น ในเส้นเลือดแดงขนาดใหญ่และขนาดกลางโดยมีความเหนียวยืดหยุ่นได้และมีความยาวเป็นฟุต ไม่เหมือนกับก้อนหรือแท่งตามปกติที่พบหลังการตายที่มีมีหลายลักษณะตามระยะเวลาหลังจากที่เสียชีวิต
11. จากการที่สามารถพบได้ในคนที่ยังไม่ตายและกำลังจะตายซึ่งช่วยชีวิตไม่ทันและตายใหม่ๆ จึงเป็นที่มาของข้อสันนิษฐานว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เป็นสาเหตุของการตายโดยเฉพาะที่เป็นการตายกระทันหันที่เกิดจากหลอดเลือด ร่วมกับความสามารถของวัคซีนโควิดที่ก่อให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดอยู่แล้วรวมกระทั่งถึงอวัยวะอื่นๆและหัวใจโดยที่ในหัวใจนั้นพิสูจน์แล้วว่าเกิดจากมีกระจุกหย่อมการอักเสบ ที่ตัดทางเดินไฟฟ้าที่ควบคุมการเต้นของหัวใจ