17 ธ.ค.2520 กำเนิด ปาเกียว นักชกจอมทำลายล้าง
วันนี้เมื่อ 41 ปีก่อน #กำเนิด ปาเกียว นักชกจอมทำลายล้าง
*************************
เป็นหนึ่งในยอดนักชกที่มีสีสันมากที่สุดคนหนึ่งของยุคนี้ “แมนนี ปาเกียว” และวันนี้เมื่อ 40 ปีก่อน ตรงกับวันที่ 17 ธันวาคม 2521 คือวันที่เขาถือกำเนิดขึ้นมา
คอลัมน์ “วันนี้ในอดีต” จึงขอนำเอาเรื่องราวความเป็นสุดยอดสีสันของนักชกเชื้อสายฟิลิปปินส์คนนี้มาฝาก
เส้นทางคนยาก
ไม่ต้องแปลกใจไป เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่เรารู้กันว่า "คนรวยไม่มีใครอยากเจ็บตัว" แมนนี ปาเกียว คืออีกหนึ่งชีวิตที่เกิดมายากจนแร้นแค้นสุดขีด แต่ความเป็นคนเมือง "บูคิดนอน" ไม่ได้ทำให้เขาต้องเป็นเอาแต่นอนคิด
เพราะที่สุด เอ็มมานูเอล ดาปิดราน ปาเกียว ชาวเมืองตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ลูกชายคนที่ 2 ในบรรดาลูกๆ ทั้งหมด 4 คน ของพ่อแม่ที่มาแยกทางกันทีหลัง อย่าง โรซาลิโอ และ ดิโอนิเซีย ปาเกียว ก็ตัดสินใจทิ้งชีวิตวัยรุ่นไม่มีจะกิน เพื่อขึ้นชกมวยเพื่อหาเลี้ยงชีพ
วัยเพียง 16-17 ปาเกียวขึ้นชกมวยสากลอาชีพครั้งแรก ในรุ่น 106 ปอนด์ หรือ ไลท์ฟลายเวท อันเป็นรายการเล็กๆ อย่าง “วินเทก สปอร์ต” ที่มีกำหนดชก 4 ยก คู่ต่อสู้คนแรกของเขาคือ เอ็ดมานด์ “เอนติ้ง” อิกนาซิโอ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2537 ซึ่งปาเกียวสามารถเอาชนะคะแนนไปได้ (ไม่เอกฉันท์)
ด้วยยังโนเนม ว่ากันว่าค่าตัวครั้งแรกของปาเกียวนั้นราว 100 เปโซ พูดง่ายๆ ว่าไม่ถึงร้อยบาทไทย แต่ก็ยังอุตสาห์เก็บหอมรอมริบเพื่อส่งเงินมาช่วยเหลือครอบครัวตลอด
เขาเคยเล่าถึงการชกครั้งแรกว่า “ผมต้องนั่งเรือไปขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเก่าๆ แห่งนึง จากนั้นต้องนั่งรถบนถนนลูกรังที่เป็นหลุมบ่ออีกสามชั่วโมงกว่าจะไปถึง”
แต่ด้วยหัวใจที่ไม่อยากอดตาย หรือเพราะสายเลือดนักสู้ ที่สุดปาเกียวก็ไต่อันดับขึ้นเรื่อยๆ
โดยนับแต่ปี 2540 ชื่อชั้นของปาเกียวได้รับการพูดถึงมากขึ้น หลังจากเอาชนะนักมวยไทยที่มีฝีมือเก่งกาจได้ถึง 2 คน คือ “โชคชัย โชควิวัฒน์” เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2540 ในยกที่ 5 ชกที่ไทย
จากนั้นยังมาเอาชนะ “ฉัตรชัย อีลิทยิม” ในยก 8 ที่วิทยาลัยทองสุข ซึ่งเป็นการเอาชนะน็อกไปโดยไม่มีใครคาดคิด จนสามารถแย่งเข็มขัดแชมป์โลกในรุ่น "ฟลายเวท" จากฉัตรชัยมาได้ วันนั้นเองที่ปาเกียวได้รับการตีตราว่าเป็นแชมป์โลกครั้งแรก
โดยแม้ว่าภายหลัง เม็ดเงิน กระทิงแดงยิม จะกลับมากระชากเข็มขัดเส้นดังกล่าวคืนไปได้ในวันที่ 17 กันยายน 2542 ซึ่งเป็นการชกที่ จ.นครศรีธรรมราช
แต่ชื่อชั้นของปาเกียวก็ถือเป็นนักมวยฟิลิปปินส์ที่ได้รับการจับตามอง ไม่มีอะไรที่จะหยุดผู้ชายมวยซ้ายคนนี้ได้อีกแล้ว
เส้นทางดวงดาว
อย่างที่เราอาจพอทราบกันถึงความแกร่งของปาเกียวว่า ด้วยสไตล์การชกที่ไม่เหมือนใคร เป็นมวยทรหด หมัดหนักทั้งซ้ายและขวา จิตใจห้าวหาญไม่กลัวใคร และสภาพร่างกายแข็งแกร่ง
ที่สุด หลังจากนั้นปาเกียวก็กระโดดข้ามทีเดียวถึง 3 รุ่น ไปเป็น 122 ปอนด์ หรือ "จูเนียร์ เฟเธอร์เวท" ก่อนจะเดินทางไปชกมวยและใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา และมีชื่อเสียงดังกึกก้องมากขึ้นไปอีกในเวลาต่อมา จนเป็นเจ้าของฉายาอย่างเช่น เดอะแพ็ค-แมน, จอมทำลายล้าง, นักปราบนักมวยเม็กซิกัน และแชมป์มหาชน
ไฟท์เด็ดๆ ในชีวิตของเขาที่ต้องจากรึก นอกจากกับ โชคชัย โชควิวัฒน์ จนสามารถสร้างภูมิใจมั่นใจในกำปั่นให้กับตัวเองได้ ต่อมายังมีไฟท์อื่นๆ เช่น
18 ธันวาคม 2542 ที่เวทีกรุงมะนิลา ปาเกียวคว้าแชมป์รายการ “ซูเปอร์แบนดั้มเวท WBC” ที่ขยับเปลี่ยนรุ่นน้ำหนักการชก โดยชนะน็อค “เรนันโด จามิลี่” ไปเพียงยก 2 เท่านั้นถือว่าจบเร็วมาก
23 มิถุนายน 2544 ชนะน็อก "เลห์โลโฮโนโล เลดวาบา" ยก 6 ที่เวทีสหรัฐ ได้เป็นแชมป์โลกรุ่น “ซูเปอร์แบนตั้มเวท IBF” ไปแบบไร้ข้อกังหาใดๆ ทั้งสิ้น
ต่อมา 10 กันยายน 2548 ชนะน็อก “เฮกเตอร์ เวลาเควซ” นักมวยชื่อดังต้องหลับไปนอนยก 6 ที่เวทีสหรัฐ ปาเกียวได้เป็นแชมป์รุ่น “ซูเปอร์เฟเธอร์เวท”
15 มีนาคม 2551 ปาเกียวได้แชมป์โลกในรุ่นที่ 4 "ซูเปอร์เฟเธอร์เวท" หลังซัดหมัดแบบไม่หยุดหายใจ จนทำให้ "ฮวน มานูเอล" ล้มลงไปกอง ก่อนจะลุกขึ้นมาแพ้คะแนนไปจนได้
ผ่านมา 3 เดือน วันที่ 28 มิถุนายน 2551 ปาเกียวฟาดแชมป์โลกรุ่น “ไลท์เวท WBC” มาได้ โดยเอาชนะน็อค “เดวิด ดิแอซ” ที่เวทีสหรัฐ ว่ากันว่าการต่อยนัดนี้ "เหนียว" จนปาเกียวต้องเหนื่อยถึงยก 9 กว่าจะชนะ
วันที่ 3 พฤษภาคม 2552 ปาเกียวยังฟอร์มดี ชกชนะน็อก “ริคกี้ ฮัตตัน” ไปในยก 2 ที่เวทีสหรัฐ ได้เป็นแชมป์โลกเส้น 6 ในรุ่น "ไลท์เวลเตอร์เวท IBO"
ต่อมายังได้เป็นแชมป์โลกเส้น 7 รุ่นเวลเตอร์เวท WBO เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 ชนะน็อกยก 12 “มิเกล ค็อตโต้” ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ลาสเวกัส สหรัฐ นัดนี้คนดูเชียร์ทั้งเหนื่อยทั้งคุ้ม เพราะซัดกันนาน มันหยดติ๋งๆ
จนกระทั่งมาได้แชมป์โลกเส้น 8 ที่สภามวยโลกต้องสั่นไปทั้งวงการ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2553 ปาเกียวชกชนะคะแนน “อันโตนิโอ มาร์การิโต” ที่ คาวบอยสเตเดียม เท็กซัทสหรัฐ ได้เป็นแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวท WBC (2553)
ต่อมาเขายังขึ้นชกอีกหลายครั้งทั้งชิงแชมปฺ์โลก และรักษาเข็มขัด ชนะบ้าง แพ้บ้าง แต่ที่แน่ๆ ทุกวันนี้เขากลายเป็นนักชก ที่ชก 69 ครั้งชนะ 60 ครั้งชนะน็อก 39 ครั้งแพ้ 7 (แพ้น็อก 3) เสมอ2
ที่สำคัญค่าตัวของปาเกียว จนถึงที่สุดแล้วหลายคนได้ยินแล้วขนลุกอย่างในไฟท์ปี 2559 ที่ปาเกียว คืนสังเวียนมาโชว์ความเก๋า จนสามารถไล่ต้อนชนะ “เจสซี วาร์กัส” นักชกรุ่นน้องที่อายุอานามห่างกันถึง 10 ปี
วันนั้น ปาเกียวกลับมาครองแชมเปี้ยน WBA รุ่นเวลเตอร์เวต ได้สำเร็จ ค่าตัยเขาก็ปาเข้าไป 8 ล้านดอลลาร์ หรือราว 279.5 ล้านบาทแล้ว!!
ปีที่แล้ว แมนนี ปาเกียว ในวัย 39 ปี ยังขึ้นชกกับแชมป์โลกชาวอาร์เจนตินาที่อายุน้อยกว่า 4 ปี "ลูคัส แมทธิสเซ่" ในไฟต์ชิงแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวท WBO ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2561 ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ปาเกียว กับ ลูคัส แมทธิสเซ่
วันนั้นปาเกียวผู้ซึ่งเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์โลกที่แตกต่างกันถึง 8 รุ่นต่างสถาบันกัน บอกถึงตัวเองว่าไม่ว่รจะมีอายุเท่าไหร่ก็ไม่ใช่อุปสรรค เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีวินัยมากขนาดไหนระหว่างการฝึกซ้อม และคุณเตรียมตัวมาอย่างไร
ปรากฏเขาพูดถูกทุกอย่าง เมื่อสามารถเอาชนะน็อค ลูคัส แมทธิสเซ่ คว้าแชมป์ได้สำเร็จหลังใช้เวลาบนสังเวียนเพียงแค่ 7 ยก ปาเกียวยังได้กลายเป็นแชมป์โลก WBA ในรุ่น “เวลเตอร์เวท”
เส้นทางคนใหญ่
อย่างที่เกริ่นไปว่า ผู้ชายคนนี้เป็นนักชกที่มีสีสันมากที่สุดคนหนึ่ง นั่นก็เพราะปาเกียวผู้ซึ่งเป็นคุณพ่อลูก 4 ไม่เคยหยุดตัวเองไว้ที่ความเป็นนักชก แต่เขายังมีความสามารถในด้านอื่นๆ อย่างน่าสนใจ
ใช่แล้ว ปาเกียวเองก็สนใจงานการเมือง ถึงขนาดเคยกล่าวว่า หากได้เล่นการเมืองและได้รับเลือกตั้งอาจจะแขวนนวมเนื่องจากครอบครัวต้องการให้เลิกชกมวย
ปี 2550 ขณะที่ไทยแลนด์ยังฟาดฟันกันในสนามการเมืองสุดฤทธิ์ ปาเกียว ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ในระดับเทศบาลของกรุงมะนิลา แต่ไม่ประสบความสำเร็จเมื่อพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งไปแบบขาดลอย
แต่เขายังไม่หยุด ต่อมาราวกลางปี 2553 ขณะที่ไทยแลนด์เพิ่งผ่านการนองเลือดจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่โดย ศอฉ. ไม่นาน หันไปข้างเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ ปาเกียวก็ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดซารังกานี ในการเลือกตั้งทั่วไป
คราวนี้เขาทำสำเร็จได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนที่ขาดลอยจากคู่แข่งเป็นอย่างมาก หลังได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายถึง 60,000 คะแนน เหนือคู่แข่ง ได้เป็น ส.ส.ประจำจังหวัดซารังกานี หนึ่งในจังหวัดที่ยากจนที่สุด ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์
วันที่เขาเข้าพิธีสาบานตนอย่างเป็นทางการเพื่อรับตำแหน่ง ส.ส. เขาได้ให้คำมั่นว่าจะให้ความสำคัญกับนโยบายทางด้านการพัฒนาการศึกษาและการกีฬาในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งสร้างโรงพยาบาลแห่งแรกของจังหวัด
ที่เด็ดคือ ปาเกียวบอกในวันนั้นว่าจะยังคงลงแข่งขันชกมวยอาชีพต่อไป สงสัยว่าคะแนนท่วมท้นที่ได้มาจากประชาชน น่าจะเพราะช่วงปีสองปีนั้น ปาเกียวสามารถเอาชนะได้เข็มขัดแชมป์มาหลายเส้นกระมัง
แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนว่าปาเกียวจะไปด้วยสวยทั้งบนสังเวียนมวยและในสภาเลยทีเดียว เพราะช่วงมิถุนายน 2559 ขณะที่ไทยแลนด์มี คสช. ดูแล ฝ่ายปาเกียวก็เพิ่งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภาของฟิลิปปินส์
ตอนนั้นเขาเดินหน้าผลักดันให้ใช้บทลงโทษประหารชีวิตสำหรับคดีฆาตกรรม ค้ายาเสพติด และข่มขืนกระทำชำเรา ว่ากันว่าปีนั้นก็เป็นปีที่เขาต้องขึ้นชกกับ "วาร์กาส" ซึ่งปาเกียวออกมาให้ข่าวว่า ตนเองนั้นพยายามอย่างหนัก เพราะอยากทำให้ดีที่สุดทั้ง การชก และการทำหน้าที่ในสภาฯ
และอย่างที่รู้ ที่เขาเคยบอกว่าอยากสร้างประวัติศาสตร์เป็นสมาชิกวุฒิสภาคนแรก ที่ได้เป็นแชมป์โลก เขาก็ทำมันได้สำเร็จ
นี่อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมด แต่บอกได้เลย ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะอีกมุมหนึ่ง เขายังเปิดตัวขอเป็นนักบาสเกตบอลอีกด้วย
โดยราวปี 2557 ปาเกียวได้ลงแข่งบาสเกตบอลอาชีพเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2557 โดยสวมเสื้อหมายเลข 17 ได้ทำการลงแข่งเป็นเวลา 10 นาที กับทีม แบล็ควอเตอร์ อีลิท ในลีกบาสเกตบอลอาชีพของฟิลิปปินส์ ซึ่งปาเกียวทำคะแนนได้ 1 คะแนนอีกด้วย
"ปาเกียว" กับ “คีธ เธอร์แมน”
ที่น่าสนใจคือ ปีนี้เอง ปาเกียวยังกลับไปชก แถมยังชนะคะแนนอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ แก่ “คีธ เธอร์แมน” ที่ต้องพบกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก ในศึกชิงเข็มขัดแชมป์โลก รุ่นเวลเตอร์เวท WBA ที่ เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส, เนวาดา สหรัฐอเมริกา
แค่นี้ ก็ไม่รู้จะบรรยายสรรพคุณยังไงแล้วสำหรับผู้ชายคนนี้ นอกจากสุขสันต์วันเกิดครบรอบ 41 ปีก็แล้วกัน
****************************