ความหวังเอกชน รัฐบาลใหม่เดินคู่ แก้ 'Climate Change'
'สภาอุตสาหกรรม' วาดภาพรัฐบาลใหม่เดินคู่เอกชน แก้ 'Climate Change' ไปด้วยกัน สะท้อนรัฐที่ผ่านมาล่าช้า ทำให้ไทยไม่ไปถึงไหน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ฝากถึงทุกพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลชุดใหม่ประเด็นการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นภัยและความท้าทายที่มวลมนุษย์ชาติกำลังเผชิญอยู่ แต่ความเสี่ยงนี้เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลและเอกชนจะร่วมกันวางแผนกำหนดแนวทางไปด้วยกัน
เราคาดหวังว่ารัฐบาลต้องทันยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เพราะสิ่งที่พูดมาตลอดเวลาคือเรื่องการทำธุรกิจ ซึ่งประเทศไทยเป็นลักษณะค่อยๆ ปรับปรุง ซึ่งถือว่าช้าเกินไปกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก กระแสเทคโนโลยี
รัฐบาลต้องปลดล็อกกฎหมาย กฎระเบียบ และประกาศต่างๆ ที่ไม่เอื้ออำนวยให้หมด แล้วออกกฎหมาย ออกกติกาเตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ๆ ยกตัวอย่างเรื่องค่าไฟแพงประเทศไทยแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่างเวียดนาม ค่าไฟฟ้าเวียดนาม 2.8 บาท ถูกกว่าไทยเกือบเท่าตัว ผลิตสินค้าประเภทเดียวกัน แต่ไทยต้นทุนแพงกว่า
เอกชนหลายเจ้าพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการติด "โซลาร์เซลล์" โดยกฎหมายกำหนดค่าไว้ไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ (MW) โรงงานสามารถผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เองได้ ถ้าเกินต้องไปขอใบอนุญาต รง.4 จาก กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งตัวเลขที่กำหนดไม่เพียงพอตอบโจทย์การแก้ปัญหา Climate Change รัฐบาลต้องปลดล็อกให้เอกชนลงทุนเพื่อได้พลังงานสะอาดที่ถูกกว่ามาทดแทน
ส่วนเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องใหม่และเรื่องที่ดี แต่ต้องลงทุน บริษัทใหญ่ๆ ลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรที่ใช้พลังงานลดลง ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงทั้งกระบวนการผลิต
"การเปลี่ยนเครื่องจักร ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องพูดง่าย แต่ทำได้ยาก เปรียบเหมือนสนัขมองเครื่องบิน แต่ขึ้นไปไม่ได้ คนที่กำหนดและตั้งกฎเกณฑ์คือบริษัทประเทศทางตะวันตก จริงๆ ไม่อยากพูดว่าประเทศไหนเป็นผู้ที่ปล่อยไปได้เยอะแยะไปหมด จนวันนี้พอเอเชียมาผลิตอยู่ไม่กี่ปีก็ต้องทำเพราะว่ามันคือปัญหา มาบังคับให้เราเปลี่ยนเครื่อง ต้องทำโน่นทำนี่ ทำแล้วเงินจะช่วยยังไง" นายเกรียงไกร ระบุ
นายเกรียงไกร บอกต่อว่า ในเวทีระดับโลกมีเสียงสะท้อนเรื่องนี้ว่าต้องมีกองทุนระหว่างประเทศประมาณ 1 แสนล้านเหรียญต่อปี หากไทยจะเข้าไปสู่เกมนี้ก็ต้องมีเงิน ไฟแนนซ์ว่าอย่างไร ธนาคารตกลงช่วยเหลือหรือไม่ เงินไม่เข้าใครออกใคร แต่ต้องการ
"ยังไงเอกชนต้องทำอยู่แล้ว ขอรัฐต้องชัดเจนเรื่องกฎหมาย มีความทันสมัยต้องรู้เท่าทัน แล้วก็นโยบายที่ชัดเจน ต้องทำต่อและเดินต่ออย่าหยุด ตอนนี้เป็นกังวลว่าหากได้รัฐบาลใหม่ โครงการจะเดินหน้าต่อหรือไม่ อยากบอกว่าประเทศเราเสียหายจากการที่ไม่ต่อเนื่อง เสียดายอะไรที่ดีทำต่อ อะไรที่มันยังไม่ดีปรับปรุงทำให้ดีขึ้น
สำคัญกว่านั้นก็คือระบบราชการ ตอนนี้รัฐบาลกับเอกชนเดินเหมือนอาการขาซ้ายช้า ขาขวาเดินเร็วๆ สรุปไปไม่ถึงไหน จึงอยากให้เดินไปด้วยกัน คุยกันเยอะๆ เพราะวันนี้มันยากกว่าที่คิด เปลี่ยนแปลงทุกอย่างความทักทาย ลูกค้าหลักคือสหรัฐอเมริกาและจีน เราต้องวางตัวให้ได้ทั้งสองคนและทุกคน" นายเกรียงไกร กล่าวในที่สุด