ธุรกิจคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กับ "บ้านปูเพาเวอร์ (BPP)"
"บ้านปูเพาเวอร์" เดินหน้าแผนลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขับเคลื่อนแนวทาง "Triple E" ธุรกิจคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จัดตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ ผู้ช่วยอธิการบดี แห่งจุฬาฯ นั่งประธาน
ประเทศไทยปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก" เป็นอันดับ 19 ของโลก มีส่วนสำคัญทำให้โลกร้อน ในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" กำหนดให้ไทย "ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก" ให้ได้ 25% ภายในปี 2573 หากทำไม่ได้ประชาคมโลกจะตั้งกำแพงภาษี และที่สำคัญ คือ โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ร้ายแรง
เมื่อองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) องค์การมหาชนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ศึกษาพบว่า แหล่งที่มาของ "ก๊าซเรือนกระจก" ของไทย 4 อันดับแรก คือ ภาคพลังงาน (253 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี) คิดเป็น 70% ทส.จึงมุ่งเป้าไปที่กลุ่มพลังงาน ด้วยการขอความร่วมมือสนับสนุนพลังงานสะอาด เพิ่มป่าไม้ดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อบรรลุเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์
"บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)" หรือ "บ้านปูเพาเวอร์" (BPP) เดินหน้าแผน "ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก" ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ"(Environmental, Social and Governance: ESG) โดยมี "ศ.ดร.พัชณิตา ธรรมยงค์กิจ" ผู้ช่วยอธิการบดี งานด้านการวิจัยและนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน ESG พร้อมคณะกรรมรวม 10 คน
ESG ทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น หรือคัดค้านเมื่อเกิดการตัดสินใจที่ไม่เป็นธรรม การจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลแบบดิจิทัล เพิ่มความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงเข้าร่วมเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย
"ศ.ดร.พัชณิตา" บอกว่า ธุรกิจพลังงานกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทาย ภาคธุรกิจมุ่งแสวงหากำไร แต่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของคนรอบข้าง ทั้งสองต้องเติบโตไปพร้อมกัน ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจอย่างเดียว
"เราอยากสร้างความมั่นใจว่า เราไม่ได้ลืมความสำนึกอยู่บนความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมาก่อนเสมอ แต่วันนี้ต้องมองด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้สังคมด้วย" "ศ.ดร.พัชณิตา" ระบุ
คำถาม คือ ธุรกิจแสวงหากำไร ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะขับเคลื่อนอย่างไร "ดร. กิรณ ลิมปพยอม" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร "บ้านปูเพาเวอร์" อธิบายว่า ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทุกอุตสาหกรรม "บ้านปูเพาเวอร์" จัดตั้ง ESG ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2566 เพราะ ESG เป็นหนึ่งในแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจพลังงาน ตามแนวทาง "Triple E"
แนวทาง "Triple E" คือ 1. Ecosystem มุ่งสร้างเมกะวัตต์คุณภาพด้วยสมดุลของพอร์ตธุรกิจทั้งจากพลังงานความร้อน และพลังงานหมุนเวียน 2. Excellence ความสามารถในการปรับตัวท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์พลังงานโลกที่มีความผันผวน
และ 3. ESG การดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับหลักความยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมสังคม และการกำกับดูแลกิจการ ควบคู่ไปกับการเป็นพลเมืองดีในทุกประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน
"ดร.กิรณ" อธิบายต่อว่า ล่าสุดแนวทาง "Triple E" มีเป้าหมายในการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 5,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 แต่ก่อนหน้านี้ก็มีกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานที่ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี HELE ในโรงไฟฟ้า
โรงไฟฟ้านาโกโซ (Nakoso IGCC) ในเมืองฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ใช้เทคโนโลยี Integrated Gasification Combined Cycle (IGCC) ที่ใช้เทคโนโลยีผสมผสานในการแปลงสถานะถ่านหิน ให้กลายเป็นก๊าซเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า ทำให้ลดปริมาณการใช้ถ่านหินลง
โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้เทคโนโลยี Combined Cycled Gas Turbines (CCGT)
ที่ผสมผสานกระบวนการทำงานของ Gas Turbine (กังหันก๊าซ) กับ Steam Turbine (กังหันไอน้ำ) เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมกับมีระบบการจัดการน้ำทิ้งจนเกือบเป็นศูนย์ นับเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับสภาพการแข่งขันในตลาด Electric Reliability Council of Texas (ERCOT) ที่มีการซื้อขายไฟฟ้าแบบเสรี
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (CHP) ทั้ง 3 แห่งที่จีน ได้ออกแบบกระบวนการผลิตไฟฟ้าให้ไม่มีน้ำเสียไหลออกจากระบบเพื่อลดการใช้ทรัพยากรน้ำในพื้นที่ และการนำน้ำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพอากาศก่อนปล่อยออกจากปล่อง โดยคุณภาพอากาศที่ปล่อยออกมาดีกว่าค่ามาตรฐานที่กฎ
"เพื่อตามเป้าหมายแห่งสหประชาชาติ "บ้านปูเพาเวอร์" เดินหน้าพลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ เชื่อถือได้ และยั่งยืน สร้างหลักประกันว่ามีการเข้าถึงการบริการพลังงานสมัยใหม่ ในราคาที่สามารถหาซื้อได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า ขณะเดียวกัน ก็ปกป้องสิทธิแรงงานและส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ที่ปลอดภัย" "ดร.กิรณ" ระบุ
"ดร.กิรณ" เล่าต่อว่า ภาพรวมการดำเนินงาน "บ้านปูเพาเวอร์" เร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยมีเป้าหมายลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ทั้งการขยายพอร์ตธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และการใช้เทคโนโลยีในการผลิตขั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน รวมไปถึงการขยายกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด
"ในด้านสังคมได้จ้างงานคนในชุมชนทำงานในโรงไฟฟ้า ตรวจสุขภาพให้แก่คนในชุมชนตั้งแต่ก่อนเริ่มก่อตั้งโรงไฟฟ้า และทำอย่างต่อเนื่อง มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อให้สามารถเกิดการติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและโลกที่ยั่งยืนขึ้น" "ดร.กิรณ" กล่าวในที่สุด
การทำธุรกิจให้เติบโตยั่งยืนในยุค "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ที่คาดการณ์ว่า โลกมีแนวโน้มร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2040 การหันมาแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ให้ธุรกิจคุ้มค่าทางเศรฐกิจ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมาย "ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก" ก้าวข้ามสัญญาณเตือนภัยว่า มนุษยชาติเหลือเวลาอีกไม่มาก