ชีวิตดีสังคมดี

ข้อความถึง นายกฯ ก่อนประชุม 'COP28' ต้องมีเป้าหมายปิดช่องฟอกเขียว

ข้อความถึง นายกฯ ก่อนประชุม 'COP28' ต้องมีเป้าหมายปิดช่องฟอกเขียว

18 ต.ค. 2566

นักสิ่งแวดล้อม ส่งข้อความถึง นายกรัฐมนตรีก่อนประชุม 'COP28' จำเป็นต้องมีเป้าหมายปิดช่องฟอกเขียว ระบุโครงการชดเชยคาร์บอนภาคป่าไม้ช่องโหว่ให้มีการฟอกเขียวเพิ่มขึ้น

นักกิจกรรมกรีนพีซ ประเทศไทย ส่งสารถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาลไทย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวนกรอบท่าทีเจรจาในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 28 "COP28" ที่จะมีขึ้นช่วงปลายปี 2566 นี้ ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กรีนพีซ ประเทศไทยเห็นว่านโยบายสภาพภูมิอากาศของไทยยังคงขาดสมดุล ไม่ได้สัดส่วน โดยทุ่มทรัพยากรทางการเงินส่วนใหญ่ไปกับมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(mitigation)ให้ความสำคัญกับการรับมือปรับตัวจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (adaptation) น้อยมาก และแทบไม่พูดถึงความสูญเสียและความเสียหาย(loss and damage) และเปิดช่องให้มีการฟอกเขียว (greenwashing) มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการชดเชยคาร์บอนภาคป่าไม้ (forest carbon offset)

นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทยกล่าวว่าการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฎิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference) ซึ่งมีต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 คือรูปธรรมที่ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ได้ช่วงชิงนโยบายสภาพภูมิอากาศของไทยเพื่อผลประโยชน์ของตนไปแล้ว แม้ภาครัฐระบุว่าจะจัดทำข้อเสนอสู่ "COP28" รวมถึงท่าทีของไทยเรื่องการเงินสีเขียว (green finance) แหล่งดูดซับคาร์บอน (Carbon Sink) และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) แต่ข้อเสนอเหล่านี้ย้อนแย้งกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ทั้งการแย่งยึดที่ดิน การทวงคืนผืนป่า และการจัดสรรที่ดินและป่าไม้จำนวนมหาศาลให้กับกลุ่มทุนเพื่อการค้าคาร์บอน และเปิดทางให้อุตสาหกรรมฟอสซิลผู้ก่อมลพิษยังสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไป” 
 

ธารา กล่าวต่อไปว่า โครงการชดเชยคาร์บอนที่แปลงธรรมชาติให้กลายเป็นสินค้าคือรูปแบบหนึ่งของการล่าอาณานิคมคาร์บอน(Carbon Colonialism) ซึ่งบรรษัทอุตสาหกรรมและกลุ่มชนชั้นนำทางเศรษฐกิจการเมืองของประเทศ เช่น เครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย เป็นต้น ใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เช่น โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) และความช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไขเพื่อกำหนดวิธีการรักษาที่ดินและป่าไม้ให้กับชุมชนท้องถิ่นที่ไร้อำนาจต่อรอง รวมถึงกลุ่มคนชายขอบและเปราะบางโดยอ้างว่าเป็นทางออกจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ”

 

ส่งข้อความถึงนายกฯก่อน COP28

 

 

ตามแผน Net Zero ของประเทศไทย คาดว่าภายในปี 2608 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงาน  ในกระบวนการผลิตไฟฟ้าและการคมนาคมขนส่ง ภาคเกษตรกรรม กระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ ภาคของเสีย รวมกันเป็น 120 ล้านตัน ภาคที่ดินและป่าไม้ (landuse, landuse change, and forestry) จะต้องมีศักยภาพในการดูดซับก๊าซเรือนกระจก 120 ล้านตัน จึงจะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ พื้นที่ป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจในประเทศไทยซึ่งมีอยู่เดิมแล้ว 102.04 ล้านไร่ และ 32.65 ล้านไร่ตามลำดับ นั้นสามารถดูดกลับก๊าซเรือนกระจกรวมกัน 100 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2564 ดังนั้น เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2608 ต้องใช้พื้นที่ป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจเพิ่มราว 28 ล้านไร่ เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ อีก 20 ล้านตัน

 

 

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า เราไม่สามารถทำการชดเชยคาร์บอนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความตกลงปารีสที่มุ่งจำกัดมิให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส  คาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นสามารถคงอยู่ต่อไปได้อีกนับศตวรรษ หรือยาวนานกว่านั้น และต้นไม้ที่ปลูกใหม่นั้นกว่าจะมีศักยภาพเพียงพอในการดูดซับคาร์บอนอาจจะต้องใช้เวลาหลายทศวรรษ และยังมีตัวแปรอื่นๆ อีกที่สามารถทำให้ป่าปลูกใหม่ตายไป เช่น ไม่ใช่พันธุ์ท้องถิ่น ภัยแล้ง ไฟป่า และการทำลายป่าด้วยปัจจัยต่างๆ

 


“การนำผืนป่ามาชดเชยคาร์บอนไม่ใช่ทางออกจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่คือแนวทางที่เปิดโอกาสให้บรรษัทอุตสาหกรรมและกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยแสวงหาผลกำไรโดยการแย่งยึดที่ดินและทรัพยากรป่าไม้ที่ดูแลโดยชุมชนท้องถิ่น ขณะเดียวกัน บรรษัทอุตสาหกรรมและกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยเหล่านั้นก็หลีกเลี่ยงภาระรับผิดต่อความสูญเสียและความเสียหายจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ตนก่อขึ้น” คำบอกเล่าจากผู้อำนวยการกรีนพีซ

 

 

กรีนพีซ ประเทศไทย เรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวนกรอบท่าทีเจรจาที่ "COP28" บนพื้นฐานดังต่อไปนี้

1.จัดตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภาว่าด้วยความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ โดยมีตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ ชุมชนท้องถิ่น กลุ่มสตรี กลุ่มเยาวชน กลุ่มแรงงาน และกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ และออกแถลงการณ์ “ภาวะฉุกเฉินสภาพภูมิอากาศ (Climate Emergency Declaration)” ที่เปรียบดังสัญญาณชีพ (vital signs) ที่เอื้อให้ผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และสาธารณะชน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดเข้าใจถึงขนาดของวิกฤต คณะกรรมาธิการรัฐสภาดังกล่าวนี้จะมีบทบาทในการติดตามตรวจสอบการดำเนินนโยบายสภาพภูมิอากาศของประเทศ และจัดทำข้อเสนอต่อกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละภาคส่วน การลดผลกระทบจากหายนะภัยทางธรรมชาติและการสร้างศักยภาพในการฟื้นคืนจากวิกฤต (Resilience) ของชุมชนและสังคมโดยรวม

 

 

2.ให้ความสำคัญและเปิดพื้นที่อย่างกว้างขวางต่อองค์ความรู้และภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นใน การต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศและการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรมและรับรองว่ามาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศนั้นมุ่งส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนและเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

 

 

3.กำหนดจุดยืนในเวทีโลกที่ชัดเจนและหนักแน่นในการจัดตั้งและดำเนินการกองทุนว่าด้วยความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage) เพื่อกลุ่มประเทศและชุมชนที่เสี่ยงและเปราะบางมากที่สุดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

 

 

4.ตระหนักว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีสต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (systemic change) และกลยุทธ์ที่โปร่งใสเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์อย่างแท้จริง (real zero) เริ่มจากการปลดระวางถ่านหินและปลดแอกเชื้อเพลิงฟอสซิล การปฏิวัติระบบอาหาร และลดนโยบายสนับสนุนการผลิตและบริโภคเนื้อสัตว์เชิงอุตสาหกรรม ตลอดจน ยุติโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ก่อมลพิษและเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของแหล่งสำรองเชื้อเพลิงฟอสซิลแห่งใหม่

 

 

5.ป้องกันการครอบงำของบรรษัทข้ามชาติเหนือสิทธิบัตรพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์และสิ่งมีชีวิตซึ่งบ่อนทำลายศักยภาพการปรับตัวจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศของเกษตรกรรายย่อย ชุมชนท้องถิ่น ชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์

 

 

6.คุ้มครองและสนับสนุนสิทธิชุมชนและประชาชนในการอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำและชายฝั่งที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจแบบเกื้อกูล (supportive economy) และแหล่งความมั่นคงทางอาหารของชุมชนและประเทศ

 

 

7.สร้างความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศกับประชาคมโลกในด้านเงินทุน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี การแบ่งปันองค์ความรู้ และการสร้างศักยภาพ โดยปฏิเสธแนวทางการชดเชยคาร์บอน (carbon offset) ที่เป็นเรื่องการฟอกเขียว (greenwash) และเปิดโอกาสให้ประเทศร่ำรวยและบรรษัท อุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากวัฏจักรคาร์บอนตามธรรมชาติ แย่งยึดที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติในประเทศให้เป็นสินค้าแสวงผลกำไร แต่กลับหลีกเลี่ยงภาระรับผิดชอบ (accountability) ต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ตนก่อขึ้น