ชีวิตดีสังคมดี

เดินหน้าส่งต่อความรู้อนุรักษ์น้ำให้เด็กไทย  ใน 'โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ'

เดินหน้าส่งต่อความรู้อนุรักษ์น้ำให้เด็กไทย ใน 'โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ'

18 พ.ย. 2566

'โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ' ปีที่ 3 เดินหน้าส่งต่อความรู้อนุรักษ์น้ำให้เด็กไทย แบบจำขึ้นใจด้วยห้องเรียนสิ่งแวดล้อม ที่ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำ จ.กระบี่

“น้ำ” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิต มีตัวเลขที่น่าสนใจคือ 97 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำทั้งหมดบนโลกเป็นน้ำทะเลในมหาสมุทร มีเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นน้ำจืด และมีน้ำจืดเพียง 0.3 ส่วนเท่านั้นที่เป็นน้ำผิวดิน ที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ สำหรับประเทศไทยในระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาได้เผชิญปัญหาเกี่ยวกับน้ำอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องช่วยกันดูแล รักษา ทรัพยากรน้ำจืดที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พอเพียง ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสมดุลย์ของระบบนิเวศ และสมบูรณ์ต่อการนำมาใช้ประโยชน์ของมนุษย์ในอนาคต

 

การพัฒนาที่ยั่งยืนด้านน้ำและสุขาภิบาล องค์การสหประชาชาติจึงกำหนดประเด็นรณรงค์เนื่องในวันน้ำโลกประจำปี 2023 นี้ ว่า “Accelerating change” หรือ “เร่งการเปลี่ยนแปลง” โดยรณรงค์ให้ทุกภาคส่วน “Be the change you want to see in the world.” หรือ “ร่วมกันเปลี่ยนแปลง สิ่งที่คุณอยากเห็นในโลกใบนี้”

 

เดินหน้าส่งต่อความรู้อนุรักษ์น้ำให้เด็กไทย  ใน \'โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ\'

 

เพื่อจุดประกายความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ให้กับกลุ่มเยาวชนท้องถิ่น สร้างความพร้อมในการเป็นพลเมืองสิ่งแวดล้อม ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย ร่วมกับ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) ผนึกกำลังสร้างสรรค์ โครงการรักษ์นํ้ามิตซุยกุ ปีที่ 3 โดยจัดกิจกรรม “ค่ายรักษ์น้ำ” เพื่อปั้นเด็กไทยให้มีใจรักสิ่งแวดล้อม ดูแลสายน้ำบ้านเกิดของตัวเอง ตามแนวคิด “รักษ์น้ำ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน” สอดรับกับพันธกิจระดับประเทศและระดับโลก

 

 

ล่าสุดจัดกิจกรรม “ค่ายรักษ์น้ำ” ในพื้นที่ทะเล จ.กระบี่ โดยมีตัวแทนครูและนักเรียน จากโรงเรียนบ้านเกาะจำ อ.เหนือคลอง และโรงเรียนอ่าวลึกประชาสรรค์ อ.อ่าวลึก รวม 30 คน ร่วมเวิร์คชอป เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากห้องเรียนสิ่งแวดล้อม พร้อมเรียนรู้วิถีธรรมชาติสัตว์น้ำและท้องทะเล ณ อ่าวมาหยา อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กๆได้รู้จักรัก หวงแหน และปกป้องสายน้ำบ้านเกิดของตัวเอง

 

เดินหน้าส่งต่อความรู้อนุรักษ์น้ำให้เด็กไทย  ใน \'โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ\'

 

“โครงการรักษ์นํ้ามิตซุยกุ” ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 เพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งต่อองค์ความรู้ในการอนุรักษ์แหล่งน้ำและทรัพยากรธรรมชาติ โดยจุดมุ่งหมายในปีนี้ เป็นการขยายโครงการรักษ์น้ำ ต้นแบบกระบวนการเรียนรู้จากระดับจังหวัดสู่ระดับประเทศ โดยดำเนินการกับเด็กและครูใน 4 จังหวัด 4 ภูมิภาค แบ่งออกเป็นพื้นที่ต้นน้ำ เริ่มจากในพื้นที่จังหวัดเชียงรายให้ได้เรียนรู้วิธีการรักษาต้นน้ำจากป่า มาสู่พื้นที่กลางน้ำ จังหวัดอุบลราชธานี ให้ได้เรียนรู้และรักษ์น้ำในวิถีชีวิตริมน้ำโขง จนมาถึงพื้นที่ปลายน้ำ จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้ได้เรียนรู้ความสำคัญของน้ำในการทำมาหากิน ด้วยการเลี้ยงปลากระพง ก่อนที่จะส่งต่อมายังในพื้นที่ท้องทะเล จังหวัดกระบี่เป็นค่ายสุดท้าย ให้ได้เรียนรู้ การอนุรักษ์แหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบห้องเรียนธรรมชาติ

 

จงรักษ์ ฐินะกุล

 

จงรักษ์ ฐินะกุล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านส่งเสริมและเผยแพร่ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม มีแผนยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนงานสิ่งแวดล้อมศึกษาของประเทศไทย ที่ครอบคลุมทุกมิติทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อสร้างพลเมืองเพื่อสิ่งแวดล้อมให้สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแล อนุรักษ์ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นได้ โดยมีเครือข่ายโรงเรียนอีโคสคูล หรือโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยปลูกฝังเรื่องความรับผิดชอบและความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วัยเด็ก

 

ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) ที่ได้มีการขับเคลื่อน โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ ที่มุ่งมั่นส่งเสริมและให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการอนุรักษ์น้ำและฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรธรรมชาติให้กับเยาวชน ซึ่งโดยนักเรียนในเครือข่ายโรงเรียนอีโคสคูล และเครือข่ายสิ่งแวดล้อมศึกษา ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมโครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุปีที่ 3 ซึ่งส่งผลดีต่อเด็กๆ เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการเสริมสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องระบบนิเวศ ทรัพยากรน้ำและการจัดการน้ำตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ตลอดจนได้รับการพัฒนาด้านทักษะไม่ว่าจะเป็น ทักษะการเก็บข้อมูล การคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม การทดลอง การตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม (น้ำ-ดิน) อย่างง่าย และการผลิตคลิปวีดิโอสั้นเพื่อการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ซึ่งเด็กๆ ได้รับประสบการณ์ตรงจากการได้ลงมือปฏิบัติจริง และเมื่อเด็กกลุ่มนี้กลับไปที่โรงเรียน เขาสามารถถ่ายทอดและต่อยอดสิ่งที่ได้รับ ไปสู่กิจกรรมการอนุรักษ์น้ำในโรงเรียน ตลอดจนเป็นผู้นำในกลุ่มเด็กๆ ด้วยกันเองในการขับเคลื่อนการทำกิจกรรมด้านการอนุรักษ์น้ำ รวมถึงสิ่งแวดล้อมด้านอื่นๆ ในโรงเรียนและชุมชนโดยรอบได้

 

โอเมอร์ มาลิค

 

โอเมอร์ มาลิค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซันโทรี่ เบฟเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย และอินโดไชน่า กล่าวว่า ปี 2566 นี้ โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ ได้ดำเนินโครงการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 โดยเป็นการทำงานร่วมกับศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา หรือ EEC และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด ‘รักษ์น้ำ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน’ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ การจุดประกายให้คุณครู สามารถส่งต่อความตระหนักรู้และแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน รวมทั้งสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมและพัฒนานักเรียนให้เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ ตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาของท้องถิ่น เกิดมุมมอง และทักษะที่รอบด้าน มองเห็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาและปกป้องดูแลทรัพยากรน้ำในบ้านเกิดของตนเอง เพื่อนำไปสู่การสร้าง ‘พลเมืองสิ่งแวดล้อม’ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของซันโทรี่ ที่เติบโตไปพร้อมกับการสร้างพลังบวกและความรับผิดชอบต่อสังคมและธรรมชาติในการขับเคลื่อนเรื่องการอนุรักษ์น้ำต่อไป

 

อเล็กซานเดอร์ ไซมอน เรนเดลล์

 

ด้าน อเล็กซานเดอร์ ไซมอน เรนเดลล์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) กล่าวว่า ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาให้ความสำคัญกับการทำงานในเรื่องสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติร่วมกับกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ทั่วภูมิภาค เพราะพวกเขาคืออนาคตของชาติ ซึ่งในเวลา 3 ปีที่ผ่านมาโครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ เรื่องน้ำที่เชื่อมต่อกับทุกๆ ภูมิภาคของประเทศ ทำให้เด็กๆในพื้นที่ได้มีความเข้าใจว่าการดำรงชีวิตของตัวเอง สร้างผลกระทบอะไรให้กับต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และทะเล รวมทั้งเป็นการกระตุ้นการดูแลสิ่งแวดล้อมระดับชาติในสังคมของเยาวชน นอกจากนี้การได้รวมตัวกับภาครัฐและเอกชน ก่อให้เกิดพลัง และเกิดการสนับสนุนอย่างทั่วถึง โครงการในปีนี้จึงมีโอกาสสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ ในการเพิ่มเติมองค์ความรู้เรื่องน้ำผ่านห้องเรียนธรรมชาติ ให้กับผู้เข้าร่วมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นความหวังที่จะได้เห็นเยาวชนกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมในอนาคต