'เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3000' เช็กด่วนปรับขึ้นปีแรกได้เต็มจำนวนเลยหรือไม่
'เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3000' แก้กฎหมายให้สูงวัยมี เบี้ยยังชีพที่สูงขึ้นจาก 600 ต่อเดือน เช็กด่วนปรับขึ้นปีแรกได้รับ 3,000 บาทเลยหรือไม่
คณะกรรมการสวัสดิการสังคม แถลงความคืบหน้าของอนุกรรมาธิการเรื่องของการพัฒนาระบบบำนาญพื้นฐานประชาชน หรือ การ "เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3000" ซึ่งเรื่องนี้มีการดำเนินงานมาหลาย ยุคหลายสมัยเพื่อ ปรับเบี้ยผู้สูงอายุ 3000 โดยมีการจ่ายทยอยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่มีการริเริ่มสวัสดิการนี้ แต่ขณะนี้ตัวเลขเงินคงที่มานานแล้ว และเห็นว่าปัจจุบันนี้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพแล้ว ซึ่งกรรมาธิการชุดที่แล้วได้มีการ ตั้งอนุกรรมาธิการเรื่องของแหล่งรายได้ และแนวทางการพิจารณากรอบของกฎหมายและได้พิจารณาส่งร่างให้กับสภาผู้แทนราษฎรส่งไปยังฝ่ายบริหารขนาดนั้นนั่นก็คือนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ถูกตีตกเนื่องจาก เป็นร่างเกี่ยวกับการเงิน เราจึงยังไม่หยุดการต่อสู้เพื่อเรียกร้องและผลักดันเรื่องนี้
รายงานฉบับนี้จะเป็นก้าวแรกขั้นพื้นฐานสำหรับการ "เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3000" และพื้นฐานของบำนาญประเทศไทยที่มีหลักร้อยมาเกินกว่า 30 ปีแล้วและไม่มีการปรับขึ้น
ทั้งนี้รายงาน "เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3000" ฉบับนี้มี 2 ส่วนแรกคือการแก้ไขพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ปี 2546 ในมาตรา 11 ว่าด้วยเรื่องของการจ่าย เงินผู้สูงอายุ เพิ่งฉบับนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลเพราะเนื้อหาไม่เหมือนกัน โดยกมธ.ได้ใช้กฎหมายเก่ามาแก้ใหม่ว่าด้วยหลักการวิธีการของการจ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งกฎหมายเดิมเขียนไว้ว่าให้จ่ายตามความเหมาะสมเห็นสมควร แต่กฎหมายฉบับใหม่คือให้จ่ายไม่น้อยกว่า เส้นผ่าความยากจนที่สภาพัฒน์กำหนดซึ่งปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,900 กว่าเกือบ 3,000 บาท
และได้มีความเห็นพ้องต้องการในมติคณะกรรมาธิการ เซ็นลงนามในกฎหมายฉบับนี้เพื่อแก้ไขและกำลังจะยื่นสู่สภาในนามของคณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคม และน่าจะเป็นกฎหมายฉบับแรก ของสภาชุดที่ 26 ที่มีสส.ทุกพรรคการเมืองเซ็นชื่อร่วมกันในนาม กมธ.
ส่วนที่ 2 ในเรื่องของการใช้เงินได้มีการศึกษาเพิ่มในเรื่องการใช้เงิน เพราะ การทำเงินบำนาญประชาชนต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย เช่นปัจจุบันมีผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพอยู่ที่ 11.8 ล้านคนใช้งบประมาณประมาณ 9 หมื่นล้านกว่าบาทแต่เมื่อเปรียบเทียบกับงบ กับบำนาญในส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็นข้าราชการที่กินงบประมาณไปกว่า 3 แสนล้าน เปรียบเทียบกับบำนาญประชาชนยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่
ดังนั้นบำนาญ ปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3000 ไม่ได้มุ่งเน้นหรือบอกว่าจะลดบำนาญข้าราชการ แต่ชี้ให้เห็นว่าบำนาญของภาคประชาชนใช้งบประมาณน้อยมากกับคนเกือบ 12 ล้านคน จึงไม่จำเป็นต้องขึ้นทีเดียวแบบก้าวกระโดด ด้วยการ "เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3000" ทีเดียว แต่อาจจะขึ้นเป็นขั้นจากปีแรกจาก 600 เป็น 1,200 บาทถ้วนหน้าได้หรือไม่ แล้วปีต่อไปอาจจะเพิ่มเป็น 2,000 หรือ 3,000 บาท โดยที่เราเรียกทุกหน่วยงานทั้งภาคประชาชน อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมาย นักวิชาการ เพื่อช่วยกันพิจารณา เป็นรายงานฉบับนี้ขึ้นมา ว่าหากจะปรับเงินบำนาญ ของประชาชนเพิ่มขึ้นจะทำได้อย่างไร
แน่นอนว่า ในปีแรกจะปรับขึ้นจาก 600 เป็น 1,200 บาท ต้องใช้งบประมาณเพิ่มประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท จึงคิดว่า ถ้าเราแก้ระเบียบการใช้งบกลางที่ฉุกเฉินหรือซ้ำซ้อนกับกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆเราสามารถมีเงินเข้ารัฐถึง 40,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่าปีแรกเราจะปรับเพิ่มจาก 600 เป็น 1,200 ได้แน่นอน
โดยนายณัฐชา บุญไชยอินทร์สวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ระบบสวัสดิการพื้นฐานที่ให้กับผู้สูงอายุ หรือ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หยุดชะงักอยู่ตั้งแต่ปี 2554 ที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ในสมัยนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรคณะกรรมาธิการจึงขอวิงวอนไปยังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ท่านจะได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่ารัฐบาลของท่านนายกเศรษฐาเป็นผู้จะปรับฐานบำนาญพื้นฐานประชาชนจากหลักร้อยให้เป็นหลักพันได้ในยุคสมัยของท่าน โดยการร่วมงานกับกรรมาธิการ เพราะกรอบเงินงบประมาณที่เราคิดไว้ในรายงานฉบับนี้ไม่ได้กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเลยเงินงบประมาณปี 2567 ใช้เงินบำนาญ 92,000 ล้านบาท แต่ในรายงานฉบับนี้บอกว่าจะมีการหาและจัดสรรปันส่วนในส่วนของสวัสดิการให้ได้มาเพิ่มอีก 40,000 กว่าล้านนั่นหมายความว่า 13 หมื่นล้านท่านปรับจากหลักร้อยเป็นหลักพันได้ทันที