ชีวิตดีสังคมดี

กกพ. ชี้แจงโครงสร้าง 'ค่าไฟไทย' ทำไมถึงแพง?

กกพ. ชี้แจงโครงสร้าง 'ค่าไฟไทย' ทำไมถึงแพง?

19 เม.ย. 2566

“คมกฤช” เลขาธิการสำนักงาน กกพ. เผยสาเหตุที่ต้องขึ้นค่าไฟงวด พ.ค. - ส.ค.66 เพราะยังค้างหนี้กฟผ. ยืนยันสาเหตุหลักค่าไฟคือต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น

หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เคาะขึ้นค่าไฟ ในงวด พฤษภาคม - สิงหาคม 2566 ทั้งในส่วนที่บ้านอยู่อาศัย และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ โดยคิดค่าเอฟทีในอัตราเดียวกัน ที่ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย ประชาชนต้องรับภาระจ่ายค่าไฟที่ขยับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงเกิดเป็นคำถามจากผู้ใช้ไฟฟ้าว่า ทำไมค่าไฟถึงได้แพงอย่างต่อเนื่องแบบนี้

ทางนายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ได้แจงข้อมูลที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการกำหนดราคาค่าไฟ ไว้ว่า 
“สาเหตุค่าไฟฟ้าแพงเกิดจากปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงต้นทุนต่ำที่เคยใช้ผลิตไฟฟ้าลดลงค่อนข้างมากต่อเนื่องจาก 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เหลือ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือลดลง 20-30% และต้องนำเข้า LNG ราคาแพง ซึ่งเป็นผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และตรงกับความช่วงที่มีความต้องการ LNG มากในฤดูหนาวของทางยุโรปทำให้มีราคาแพง และต้องนำเข้า LNG ราคาแพงมาทดแทนปริมาณก๊าซต้นทุนต่ำจากอ่าวไทยที่ขาดหายไป”
 

โดยในส่วนของสำนักงาน กกพ. ได้พยายามอย่างเต็มที่ ให้สามารถผ่านวิกฤตพลังงานนี้ไปให้ได้ 
“กกพ. เราได้มีมาตรการใช้น้ำมันในช่วงที่ราคาถูกกว่า LNG เข้ามาผลิตไฟฟ้าแทน LNG แต่โดยข้อจำกัดของระบบเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาก๊าซเป็นหลัก ไม่สามารถใช้น้ำมันทดแทนได้ทั้งหมด ซึ่งทาง กกพ.ได้พิจารณาโครงสร้างต้นทุนค่าไฟฟ้ามาตลอด ยืนยันว่าเชื้อเพลิงเป็นสาเหตุหลักของค่าไฟฟ้าแพง ส่วนต้นทุนอื่นที่วิจารณ์กัน โดยสัดส่วนไม่มีผลมากนัก อย่างเช่น ถ่านหินราคาปรับเพิ่มไม่มากนัก ค่าความพร้อมจ่ายที่พูดกันไม่ได้เพิ่มมากนักยังอยู่ระดับเดิม”
 

เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ยังได้อธิบายถึงโครงสร้างค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เป็น 4.77 บาทต่อหน่วย ในงวด พ.ค.- ส.ค. 2566 มีการกระจายต้นทุนไปยังส่วนไหน อย่างไรบ้าง
“โครงสร้างต้นทุนค่าไฟปัจจุบัน ค่าไฟฟ้างวดพ.ค.- ส.ค. 2566 ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย ลำดับจากต้นทุนแพงที่สุดไปต้นทุนถูกที่สุดตามลำดับได้แก่ ค่าเชื้อเพลิงทุกประเภทเฉลี่ย 2.74 บาทต่อหน่วย / ค่าโรงไฟฟ้าเพื่อรักษาความมั่นคงของระบบ 76 สตางค์ต่อหน่วย / ค่าต้นทุนระบบจำหน่าย 51 สตางค์ต่อหน่วย / ค่าภาระหนี้เชื้อเพลิงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 35 สตางค์ต่อหน่วย / ค่าต้นทุนระบบส่ง 24 สตางค์ต่อหน่วย และค่าใช้จ่ายตามนโยบายภาครัฐ เช่น Adder ค่าไฟฟรีสำหรับผู้มีรายได้น้อย ประมาณ 16 สตางค์ต่อหน่วย”

 

ส่วนประเด็นค่าไฟฟ้าภาคประชาชนที่แพงกว่าค่าไฟฟ้าอุตสาหกรรมนั้น นายคมกฤชได้ขยายความเพิ่มเติมว่า 
“ค่าไฟฟ้าครัวเรือนที่ดูเหมือนสูงกว่าค่าไฟฟ้านอกภาคครัวเรือน เกิดจากค่าไฟฟ้างวดปัจจุบันมีราคาแพงเป็นผลจากปลายปี 2565 เป็นช่วงที่ต้นทุนราคาก๊าซ LNG นำเข้าสูงมากและต้องนำเข้าทดแทน ในขณะที่ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยเชื้อเพลิงต้นทุนต่ำลดลงมาก ทำให้ค่าไฟฟ้าที่แท้จริงในงวดปัจจุบัน (ม.ค.- เม.ย. 2566) ซึ่งปกติหากเป็นอัตราเดียวจะเท่ากับ 5.24 บาทต่อหน่วย แต่รัฐบาลต้องการบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนจึงได้สั่งการให้ กกพ.คำนวณค่าไฟจากการจัดสรรก๊าซในอ่าวไทยที่มีราคาถูกให้ประชาชนก่อน จึงเป็นกรณีพิเศษที่ทำให้ประชาชนได้อัตราเดิม 4.72 บาทต่อหน่วย”

 

“โดยค่าไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมงวดปัจจุบัน (ม.ค.- เม.ย. 2566) เท่ากับ 5.33 บาทต่อหน่วย เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้ช่วยรับภาระแทนประชาชนบางส่วน ในขณะที่อัตราค่าไฟฟ้าในงวดพ.ค.- ส.ค. 2566 จะเหลืออัตราเดียวเฉลี่ยที่ 4.77 บาทต่อหน่วย อาจจะดูเหมือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็เป็นอัตราที่ถูกลงจากงวดปัจจุบัน” 

 

หลังเข้าสู่ปี 2566 เป็นต้นมา เราได้เห็นราคาต้นทุนพลังงานมีการปรับตัวลดลง แต่การคำนวณค่าไฟของทางสำนักงาน กกพ. ยังไม่สามารถปรับลดตามต้นทุนลงได้ 
“ทาง กกพ. ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์การคำนวณค่าเอฟที เราใช้สมมติฐานตัวเลขต้นทุนในปีก่อนหน้า ในที่นี้หมายถึงปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประมาณการต้นทุนในงวดถัดไป ในขณะที่การประกาศค่าไฟฟ้าในงวดก่อนหน้านี้ แนวโน้มเชื้อเพลิงขึ้นมาตลอด กกพ. เองใช้สมมติฐานค่าเชื้อเพลิงต่ำมาตลอดทำให้ภาระหนี้เชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อราคาเชื้อเพลิงแท้จริงลดลง ส่วนต่างที่เกิดขึ้นก็จะถูกนำไปหักลบกลบนี้ในการประกาศค่าเอฟทีและค่าไฟฟ้าในงวดต่อไป” 

 

“ดังนั้น ค่าไฟฟ้าที่ถูกลงจะทยอยปรับลดลง ยืนยันว่าไม่มีใครได้กำไรและขาดทุนเพราะว่ารอบสุดท้าย  ก็จะนำมาหักลบกลบหนี้กัน ในทางตรงกันข้ามขณะที่การทำประมาณการต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำเกินไปก็เป็นอันตรายและส่งผลกระทบต่อภาระหนี้สิน และสภาพคล่องของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เช่นกันเราต้องคำนึงถึงความน่าเชื่อถือของ กฟผ.ด้วย หากสภาพคล่องกระทบกับเครดิตของ กฟผ. ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศด้วย จึงอยากให้ทุกฝ่ายอยู่ได้ด้วยกัน”

 

แม้ค่าไฟฟ้าจะมีแนวโน้มลดลงในงวดที่ 3 ในช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป แต่โดยภาพรวมแล้ว เลขาธิการสำนักงาน กกพ. แสดงความเห็นว่ายังคงต้องติดตามสถานการณ์พลังงานของโลกอย่างต่อเนื่อง  
“เพราะยังมีปัจจัยเรื่องของฤดูกาลช่วงปลายปีมีความต้องการ LNG ในช่วงฤดูหนาว และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่ยุติ ก็ยังเป็นสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนอาจจะมีผลกระทบต่อค่าเชื้อเพลิง ส่วนข้อเสนอภาคเอกชนที่ต้องการให้การยืดการชำระหนี้ค่าเชื้อเพลิง กฟผ. ออกไป ต้องมองว่า กฟผ. มีภาระเงินกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำเป็นต้องรักษาวินัยการเงินการคลังภาครัฐ ภาระหนี้สาธารณะ และผลกระทบต่อเครดิตของประเทศ” 

 

“หลายฝ่ายมองว่าแนวโน้มของปริมาณก๊าซธรรมชาติต้นทุนต่ำจากอ่าวไทยจะมีเพิ่มขึ้น และมีผลในเดือนส.ค. 2566 กกพ. ก็มีการนำมาคำนวณในค่าไฟแล้ว ซึ่งต้นทุนเชื้อเพลิงที่ต่ำลงจะเป็นช่วงปลายงวดของค่าไฟในงวด พ.ค.-ส.ค. 2566 และจากสมมติฐานและค่าใช้จ่ายจริงจะถูกจ่ายคืนผ่านกลไกเอฟที” 

 

ในส่วนประเด็นที่บ้านเรือน หรือผู้ประกอบการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟใช้เองนั้น ทาง กกพ. ยินดีสนับสนุนให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภาคประชาชนอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ติดตั้ง แต่ทั้งนี้ไม่มีนโยบายรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในราคาสูง เพราะจะทำให้ผู้ที่ไม่ได้ติดตั้งเสียประโยชน์ได้
“เรายึดหลักการที่อัตราราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกิน ต้องไม่ให้ตกเป็นภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าโดยรวม ที่ประชาชนทุกคนอาจจะไม่ได้มีเงินมากพอในการลงทุนติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง ดังนั้น อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากประชาชนจะต้องไม่ไปกระทบกับประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งด้วย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน”

 

ต่อความกังวลในราคาค่าไฟที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น การร่วมมือกันประหยัดการใช้ไฟฟ้ายังเป็นแนวทางที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมได้ ในขณะทางสำนักงาน กกพ. ยังคงพยายามบริหารจัดการค่าไฟฟ้าอย่างเต็มที่เช่นกัน 
“ช่วงวิกฤตการณ์ก๊าซขาดแคลนก๊าซ ซึ่งเราไม่สามารถเดินเครื่องด้วยน้ำมันได้ทั้งหมด จนถึงขณะนี้ก็สามารถผ่านวิกฤตมาได้ระดับหนึ่งแล้ว ก๊าซในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น ตลาดก๊าซธรรมชาติเริ่มเปิดมากขึ้นเราก็จะซื้อ LNG ได้มากขึ้น ทำให้ กกพ. บริหารได้ง่ายขึ้น อาจส่งผลให้ค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มที่ถูกลงมากขึ้น แต่ยังคงเชิญชวนให้ประชาชน ช่วยประหยัดการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องครับ”