เส้นทาง 'ทุนจีนเทา' จากตะเข็บชายแดนสู่กลางกรุง จับตาจีนใหม่ที่น่ากลัว
เส้นทาง 'ทุนจีนเทา' จากตะเข็บขายแดนแทรกซึมสู่ใจกลางกรุงเทพฯ มาแบบปกติก่อนกลายร่างเป็นสีเทา จับตากลุ่มจีนใหม่น่ากลัว แข็งแกร่งมีสายสัมพันธ์กับเพื่อนคนไทย
หลังจากข่าวอุบัติเหตุกระบนออร์นิว ชนท้ายรถหรูโรลส์-รอยซ์ ซึ่งเจ้าของรถหรูเป็นหญิงชาวจีนวัย 38 ปี ที่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารในกรุงเทพฯ และพัทยา ต้นเรื่องที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสืบสาวราวเรืองถึงเส้นทางการทำธุรกิจ รวมไปถึงข่าวคราวการกวาดล้างธุรกิจ "ทุนจีนเทา" ที่แม้จะไม่ใช่คดีใหญ่แต่ก็มีออกมาให้เรื่อยๆ นับรวมไปถึงนิวไซน่าทาวน์ในพื้นที่ ห้วยขวาง หรือ พื้นที่ที่ได้รับขนานนามว่าเป็น มณฑลห้วยขวาง เพราะมีร้านอาหาร พนักงานคนจีน ร้านของฝาก โรงเรียนสอนภาษาจีนเกิดขึ้นมาเป็นจำนวน
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การดำเนินการธุรกิจของคนจีนในประเทศยังคงมีอยู่ทั้งแบบธุรกิจที่อยู่บนดิน และธุรกิจที่อยู่ใต้ดิน หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ "ทุนจีนเทา" และการเข้ามาของกลุ่มคนจีนในประเทศไทยไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ เพราะหากย้อนไปในอดีต การเข้ามาของกลุ่มคนจีนนั้นมีมานานแล้ว แต่รูปแบบการเข้ามาอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยี และความเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจ แรกเริ่มการทำธุรกิจของกลุ่มจนจีนอาจจะอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน หรือ ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังพัฒนา แต่ปัจจุบันคนจีนค่อยๆ รุกคืบเข้ามาจนถึงใจกลางกรุงเทพมหานครแล้ว โดย รศ.ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูล อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร ให้สัมภาษณ์ถึงเส้นทางกลุ่ม "ทุนจีนเทา" ไว้กับคมชัดลึก ดังนี้
- เส้นทาง "ทุนจีนเทา" มองล็อกเป้าหมายประเทศที่มีความมั่นคงทางการปกครองต่ำ
รศ.ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูล อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของการเกิดธุรกิจจีนเทา หรือ "ทุนจีนเทา" ในประเทศไทยเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า การเข้ามาของกลุ่มทุนจีนส่วนใหญ่มักจะเลือกประเทศที่มีความมั่นคงน้อย โดยการเดินทางข้ามเข้ามาของคนจีน หรือ นักธุรกิจชาวจีนมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ และการเมืองแบบพึ่งพิงของจีน นโยบายในการลงทุนกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่มีผลต่อการแผร่อิทธิพลของจีนมายังประเทศในเส้นทางเบลต์แอนด์โรด โดยเมื่อ 10 ปีก่อน หรือประมาณ ปี 2556 จีนมองเส้นทางสายไหม เป็นเป้าหมายใหม่ในการขยายการเชื่อมโยงการค้าของจีนกับนานาชาติ จากเดิมเมื่อ 500 ปี ก่อน จีนมองการทำธุรกิจทางทะเลทั้งหมด ซึ่งสามารถทำได้อย่างยิ่งใหญ่ และมีสายสัมพันธ์อย่างมาก
แต่ปัจจุบันความเป็นจีน และการขยายอำนาจอาณาเขตแบบจีนเปลี่ยนแปลงไป หรือที่เรียกว่า กลุ่มจีนใหม่ ที่เข้ามาในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาเพราะมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยกลุ่มจีนใหม่ หรือ กลุ่ม "ทุนจีนเทา" จะเข้ามาจัดการภาวะที่ไม่มีความมั่นคง โดยจีนจะแสวงหาการลงทุนในประเทศที่เปิดรับระบบเศรษฐกิจแบบพึงพิง ซึ่งจะเข้ามาทั้งในรูปแบบที่ทำตามนโยบาย และกลุ่มที่เข้ามาแบบอาศัยการทำธุรกิจขนาดเล็ก และวัฒนธรรมการยอมรับในสินค้าจีน วัฒนธรรมจีน ดังนั้นประเทศไทยจึงกลายเป็นเป้าหมายหลัก เพราะไทยเองเป็นประเทศที่เปิดรับวัฒนธรรมจีนอยู่แล้ว
- แพร่อิทธิเป็นทุนปกติ ก่อนขยายอำนาจเป็น "ทุนจีนเทา"
รศ.ดร.วศิน อธิบายถึงการเปลี่ยนระบบการลงทุนของจีน ในประเทศไทยเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เริ่มต้นของ "ทุนจีนเทา" ไม่ได้เข้ามาแบบเทาๆ เลยซะทีเดียว แต่จะเข้ามาแบบทุนปกติก่อน จนไม่มีการตรวจสอบธุรกิจเหล่านั้นจึงเปลี่ยนตัวเองเป็นกลุ่ม "ทุนจีนเทา" โดยหลังจากนั้นจะค่อยๆ แทรกซึมโดยการปล่อยกู้ให้คนไทย แปรสภาพอสังหาริมทรัพย์ แต่หากแปรสภาพไม่ได้ก็จะเริ่มใช้ความสัมพันธ์กับมาเฟีย ที่ผ่านมาเราจึงเห็นได้ว่ามีการนำนักท่องเที่ยวเข้ามาพักในโรงแรมของคนจีน จนกลายเป็นทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยในมุมมองของรศ.ดร.วศิน เห็นว่า หากเศรษฐกิจในประเทศดี สภาวะ "ทุนจีนเทา" ก็จะเงียบไป แต่หากเศรษฐทรุดเหมือนกับในช่วงโควิด-19 ระบาดที่ผ่านมาเราก็จะเห็นว่ากลุ่ม "ทุนจีนเทา" เริ่มระบาดและเริ่มใช้ความรุนแรง เพราะเกิดความขัดแย้งภายในกลุ่มกันเอง ดังนั้นภาพการกวาดล้างกลุ่มทุนจีนสีเทาที่ผุดขึ้นมาในช่วงที่ผ่านๆ มาจึงเป็นภาพที่ฉายให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มีก๊กมีเหล่าของกลุ่มจีนที่เข้ามาแฝงตัวทำธุรกิจสีเทาจำนวนมาก
โดยความน่ากลัวของกลุ่ม "ทุนจีนเทา" คือ การทะเลาะกันในกลุ่มที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นคาสิโน เงินกู้นอกระบบ หารทำธุรกิจผิดกฎหมายเล่านี้มักจะอาศัยมาเฟีย มีการจ่ายเงินแก่กลุ่มทุนจีนผูกขาดทำให้เกิดภาวะอั้งยี่ขึ้นมา แต่เมื่อเกิดภาวะความผิดปกติทางเศรษฐกิจในกลุ่มก็จะมีการจัดการปัญหากันเอง จนเกิดเป็นอาชญากรรมตามที่เราเห็น
- กลุ่มคนจีนที่น่าจับตามอง และจะมีอิทธิพลต่อการทำธุรกิจในไทย
นักศึกษาจีนมาเรียนกลับต้องการอยู่แบบกึ่งถาวร ด้วยการเช่าตึกแถวอาคารพาณิชย์อยู่หลายจุดในกรุงเทพฯ เช่น ย่านรัชดา ห้วยขวาง ยานนาวา เอกมัย เมื่อเรียนจบก็มีแนวโน้มทำงานในไทยต่อ เพราะมีโอกาสได้ทำงานสูงกว่าในจีนที่มีประชากรหนาแน่น ทำให้การแข่งขันย่อมต้องสูงตามมาด้วย อีกหนึ่งสิ่งที่น่ากังวลคือ กลุ่มจีนใหม่เหล่านี้สามารถพูดไทย สื่อเป็นภาษาไทย อีกทั้งยังมีความสัมพันธุ์กับเพื่อนคนไทย วัยรุ่นที่เจอกันในมหาวิทยาลัย จึงทำให้เกิดกระบวนการทำธุรกิจกับกลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
- ฉายภาพชัด "ทุนจีนเทา" ในประเทศไทยจะเติบโตแค่ไหน
รศ.ดร.วศิน กล่าวต่อว่า หากมองภาพการขยายอาณาจักรของกลุ่ม "ทุนจีนเทา" ในประเทศไทย คงไม่เหมือนกับสีหณุวิลล์ หรือ เชียงแสน ทั้ง 2 เมืองมีการเปิดให้จีนเข้ามาสัมปทานแบบ 100% แต่ประเทศไทยไม่ได้ให้สัมปทาน โดยการให้ทุนจีนดำเนินการแบบเบ็จเสร็จ แต่การทำธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยขอคนจีนยังต้องมีหุ้นส่วนเป็นคนไทย โดยถือหุ้น 49% ต่อ 51% แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ จีนสามารถแทรกซึมเข้ามาเรื่อยๆ สุดท้ายทำให้หุ้นส่วนคนไทยกลายเป็นลูกหนี้ไปในที่สุด
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้ว จุดอ่อนที่ทำให้ "ทุนจีนเทา" หรือการเข้ามาลงทุนของคนจีนในประเทศไทยมีมากขึ้น คือการขาดงานวิจัน ขาดข้อมูลสำมโนประชากรที่ดีพอ ส่งผลให้ประเทศไทยรู้ไม่เท่าทันวิธีการ การเข้ามาของกลุ่มคนจีน ส่งผลให้ไม่สามารถจัดการปัญหาได้