คอลัมนิสต์

บริการดุจญาติพิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว

บริการดุจญาติพิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว

21 ก.ย. 2554

บริการดุจญาติพิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว : กระดานความคิด โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข

           การกระทำอาจไม่เกิดขึ้นดั่งถ้อยคำที่รณรงค์เสมอไปถึงแม้ว่าจะเป็นถ้อยคำของผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ ความรับผิดชอบหลักขององค์การก็ตาม

            บทพิสูจน์เชิงรูปธรรมของการบริหารงานตำรวจในห้วงเวลาที่ผ่านมา ตอกย้ำความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ที่ว่า ลำพังการให้ความรู้ผ่านข้อความรณรงค์ตามหลักการในการเปลี่ยนแปลงทัศนคตินั้นไม่ได้มีพลังอำนาจที่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนที่เกี่ยวข้องได้เสมอไป ดังจะเห็นได้จากการที่สถานีตำรวจทุกสถานีทั่วประเทศรวมถึงรถตำรวจทุกชนิดจะสนองนโยบายของผู้นำตำรวจโดยการติดป้ายรณรงค์ผ่านการใช้ข้อความที่สวยหรูที่ว่า “บริการดุจญาติ พิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว” พร้อมใช้ภาพประกอบที่งดงามอย่างแพร่หลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้สึกต่อตำรวจไม่แตกต่างไปจากในอดีตที่ผ่านมา “แจ้งไว้อย่างนั้นแหละ เผื่อโจรมันเอาไปทำอะไรเราจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ” ชาวบ้านผู้มาแจ้งความบนสถานีตำรวจ ภายหลังจากถูกโจรกรรมรถจักรยานยนต์บอกเล่า

            พร้อมทั้งขยายความให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า “ตำรวจไม่ตามจับให้หรอก” หรือความเห็นที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อในฝีมือที่ว่า “ถึงเขาจะตามก็ตามไม่ได้อยู่ดี” จะเห็นได้ว่าจำนวนคดีการโจรกรรมรถจักรยานยนต์รวมถึงคดีเกี่ยวกับทรัพย์อื่นๆ นั้นมีจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ตำรวจอาจมีความจำเป็นต้องเป่าคดี ดำคดี ซุกคดี และอื่นๆ อีกมากมายที่จะทำให้จำนวนคดีเป็นไปดังที่นายต้องการแต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งหรือปกปิดจำนวนสถิติโจรกรรมที่เพิ่มสูงและสะท้อนให้เห็นถึงภาวะความไม่มั่นคงปลอดภัยในทรัพย์สินของประชาชนได้

            "จอดไว้แป๊บเดียวเข้าไปซื้อของในร้านค้า ออกมามันเอาไปเลย” ความรุนแรงของปัญหาการโจรกรรมรถจักรยานยนต์และการไม่สามารถตามจับผู้กระทำผิดได้ทำให้ผู้คนในสังคมเคยชินและใช้วิธีทำใจมากกว่าที่จะหวังพึ่งตำรวจให้ช่วยเหลือเสมือนหนึ่งว่าเป็นญาติกับตำรวจ

            โจทย์สำคัญที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเริ่มต้นเพื่อมิให้คำขวัญต่างๆ เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรู ทว่าเลื่อนลอยไร้น้ำหนักในการปฏิบัติอย่างจริงจังคือ การที่นายรวมถึงเหล่าบรรดาเสนาธิการและพลพรรคฝ่ายอำนวยการของนายต้องเริ่มปรับเปลี่ยนมุมมอง และท่าทีของตนเองที่มีต่อขุนพลผู้ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่โดยการเปิดโอกาสให้พวกเขาเหล่านั้นได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการคิดหาวิธีการทำงานเพื่อทำให้ประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของพวกเขารู้สึกอบอุ่นใจและอยากอยู่ใกล้ตำรวจ มิใช่ใช้วิธีการคิดเอง สั่งเองเพียงเท่านั้น

            การทำให้คนทำงานรู้สึกว่าผู้ปฏิบัติงานเป็นเจ้าของนโยบายหรือมาตรการต่างๆ และสร้างความรู้สึกอยากดำเนินกิจกรรมต่างๆ นั้นด้วยความมุ่งมั่น ใจจริง เห็นดีเห็นงามด้วย มิใช่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งนาย หรือทำเพียงพอผ่านเพื่อไม่ให้นายใช้เป็นข้ออ้างเชิงเหตุผลในการเอาผิดได้เท่านั้นน่าจะสร้างอานุภาพในการก่อเกิดผลสำเร็จที่มีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืนมากกว่า

            สิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเปิดโอกาสอย่างเต็มที่ให้ผู้ปฏิบัติมีส่วนร่วมในการจัดทำโครงการต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นคือ การทำให้ตำรวจที่ปฏิบัติงานอยู่ในสถานีตำรวจซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับประชาชนเกิดความมั่นใจว่าผลที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างเข้มแข็ง มุ่งมั่นและจริงจังนั้นจะย้อนกลับเป็นรางวัลตอบแทนคนทำงานซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้หาได้ยากยิ่งในโลกของตำรวจ

            ในเมื่อการตั้งใจทำงานเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ประทับใจตำรวจเสมือนหนึ่งว่าตำรวจเป็นญาติเป็นครอบครัวของตนเองมิได้ทำให้ตำรวจได้ดิบได้ดี มีความสุขในการทำงานเทียบเท่ากับการดูแลรับใช้คนใหญ่คนโตผู้มีอำนาจวาสนาซึ่งสามารถให้คุณให้โทษตำรวจได้

            ย่อมทำให้ตำรวจใช้เวลาในการบริการประชาชนเพื่อสร้างความใกล้ชิดให้ดูเสมือนหนึ่งเป็นญาติและครอบครัวเดียวกันจึงเป็นเพียงความเพ้อฝันและห่างไกลความจริง ถึงแม้ว่าสังคมไทยจะโหยหาความสนิทเสน่หาความสัมพันธ์ฉันญาติระหว่างตำรวจและประชาชนก็ตาม