คอลัมนิสต์

จบศึกซักฟอกสงครามไม่จบ

จบศึกซักฟอกสงครามไม่จบ

30 พ.ย. 2555

จบศึกซักฟอกสงครามไม่จบ : ขยายปมร้อน โดยขนิษฐา เทพจร

              จบศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว ตลอด 3 วัน 3 คืน อย่างดุเด็ด เผ็ด มัน งานนี้ทำให้เราได้เห็นความเป็นไปทางการเมืองหลายๆ อย่าง ไม่ว่าการลุกขึ้นชี้แจงแบบไปไหนมาสามวาสองศอกของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือการที่เซียนสภาอย่าง "ประชาธิปัตย์" ถูก “ส.ส.เพื่อไทย” ย้อนเกล็ด ด้วยเรื่องข้อกฎหมายดักทางอภิปรายด้วยข้อหา “ตีกิน-ลักไก่” ทำให้การอภิปรายซักฟอกที่ถูกจับตาติดๆ ขัดๆ

              หากติดตามช่วงการอภิปราย สิ่งที่ถูกจดจำได้มากที่สุดคือบรรยากาศของการประท้วงโต้ตอบ เมื่อดูตัวเลขกลมๆ จะพบว่าวาระประท้วงถูกใช้ไปทั้งสิ้น 11 ชั่วโมง จากเวลารวมทั้งหมด 41 ชั่วโมง

              ลีลาประท้วงที่ “ส.ส.พรรคเพื่อไทย” ทวงถามข้อสอบของฝ่ายค้านซึ่งถูกเก็บงำไว้ใน “คำร้องยื่นถอดถอน" ที่ยื่นต่อ นิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภาก่อนอภิปราย

              โดยอ้างเหตุผลให้ยึดข้อบังคับการประชุม ข้อ 168 ที่ระบุให้แสดงเอกสารคำร้องยื่นถอดถอนต่อที่ประชุมสภาก่อน จึงจะสามารถทำหน้าที่ได้ แม้ว่า “พลพรรคประชาธิปัตย์” จะโยกโย้ว่าการแสดงเอกสารคำร้องนั้นให้กระทำต่อประธานสภา หาใช่ “ส.ส.” ในห้องประชุม

              แต่ก็ด้วยประเด็นนี้ ที่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสอง “คนเพื่อไทยที่ศึกษากฎหมาย-ข้อบังคับการประชุม” มาเป็นอย่างดี จับโยงให้เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติหากเว้นการปฏิบัติเท่ากับทำผิดรัฐธรรมนูญ มีโทษถึงขั้นถูกถอดถอน

              อาจเป็นความโชคร้ายอย่างไม่ตั้งใจ หรือความไม่รู้เท่าวิชาหัวหมอของ “เพื่อไทย” เป็นเหตุให้ นคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ต้องถอนคำอภิปรายตลอด 40 นาที ออกจากบันทึกการประชุมสภา เหมือนไม่เคยอภิปราย เพราะบังเอิญอย่างตั้งใจไปอภิปรายในเนื้อหาที่พาดพิงถึงตัว “นายกฯ หญิง” ทั้งที่ “แกนนำประชาธิปัตย์” ยังไม่ยื่นรายละเอียดคำร้องถอดถอนต่อประธานสภา

              ในเรื่องนี้แม้แต่ ตระกูล มีชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังมองว่า ประชาธิปัตย์เสียเชิง

              ขณะที่ “ส.ส.พรรครัฐบาล” ก็ถูก “นักการเมืองผู้ดี” สวนหมัดด้วยประมวลจริยธรรมและสร้างคำพิพากษา ให้เป็นนักการเมืองผู้จงเกลียดจงชัง ขัดขวางการทำหน้าที่ตรวจสอบและคุกคามสตรีเพศ

              ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัด คือการทำหน้าที่ประท้วงของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในจังหวะประท้วง น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ให้หยุดอภิปราย เพราะเผลอพูดคำว่า ฝันว่ามีตัวเลขทุจริตในงบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล “จ่าเสื้อแดง” จึงปากไวสวนทันควันว่า “ฝันว่าได้นอนกับคุณรังสิมา จะเป็นอย่างไร” กลางที่ประชุมสภา

              ทำให้ฝ่ายค้านระดมประท้วงเพื่อรักษาศักดิ์ศรีสตรีเพศ พร้อมทั้งยื่นเรื่องให้ตรวจสอบจริยธรรม เพราะคำพูดนี้เข้าข่ายผิดประมวลจริยธรรม ส.ส.ชัดเจน

              ส่วนภาพรวมของการทำศึกซักฟอก ตามที่ฝ่ายค้านคุยโวว่าจะมีหมัดเด็ด-น็อกรัฐบาล พอเอาเข้าจริงกลับทำให้คนดูผิดหวังไร้ซึ่งหลักฐานที่ใช้มัดตัว “คนรัฐบาล” ให้ติดกับข้อกล่าวหาทุจริตคอร์รัปชั่นแบบคาหนังคาเขา

              มีเพียงเรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเท่านั้นที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ทำได้แบบเนื้อๆ เน้นๆ เข้าตากรรมการเปิดโปงเบื้องหลังความไม่ชอบมาพากลการทำสัญญาค้าข้าวกับรัฐบาลจีนแบบรัฐต่อรัฐว่ามีการนำ “บริษัทผี” มาอ้างเป็นคู่สัญญาซื้อขายกับรัฐและเชิงลึกแล้วรัฐบาลได้ขายข้าวให้แก่ “บริษัทค้าข้าว เจ้าเดิมของไทย” ที่ถูกข้อหาทุจริตในโครงการค้าข้าวสมัย รัฐบาลทักษิณ

              ประเด็นนี้ แม้ไม่มีใบเสร็จที่ชี้ชัดว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนในรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องกับการโกงอย่างไร แต่ถือว่าได้เป็นการเปิดแผลใหญ่ให้แก่ “คณะบริหาร” รวมถึงเป็นการชี้ช่องให้องค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบได้สาวเรื่องต่อ เพื่อหาตัวคนทุจริตที่อยู่เบื้องหลัง

              ส่วนการตอบคำถามของรัฐบาล "ตระกูล มีชัย" ใช้คำแรงๆ ว่า "ทุเรศและเป็นความอัปยศ" จากกรณีที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงประเด็นการออกวีซ่าให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยแสดงท่าทีไม่พอใจ ชี้แจงเสร็จก็ปัดไมโครโฟนทิ้งและใช้คำชี้แจงที่ว่าหากมีอำนาจก็คงสั่งให้ญี่ปุ่นบุกเกาะฮาวายไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นการยกตัวอย่างแต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าวุฒิภาวะความเป็นรัฐมนตรี และด้วยความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประเด็นดังกล่าวไม่สมควรจะพูด

              ส่วน สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มองว่า การอภิปรายของฝ่ายค้านรอบนี้ ถือว่าได้ทำสำเร็จในแง่ของการสร้างความคลุมเครือและป้ายความไม่โปร่งใสให้รัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลควรสลัดภาพนี้ออกไปให้ได้ ด้วยการไม่ดื้อ นำประเด็นท้วงติงมาแก้ไข

              แม้เวทีสภาจะจบลง แต่งานนี้ถือว่ายังไม่เสร็จสิ้น เพราะจากนี้ไม่ว่าฟากฝั่งไหนต้องถูกเดินหน้าไล่บี้ตรวจสอบจากความผิดพลาด รัฐบาลเองต้องโดนดำเนินการต่อไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช.หรือ ปปง. หรือแม้แต่เรื่องจริยธรรมที่พลั้งพลาดเพราะความมันปาก ขณะที่ฝ่ายค้านก็ต้องเผชิญหน้ากับการถูกถอดถอนจากการลักไก่อภิปรายเรื่องที่ไม่ได้ยื่นถอดถอนนายกฯ

              การอภิปรายสมัยนี้จึงไม่เหมือนยุคโบราณที่พูดแล้วจบไป หากแต่ต้องรับผิดชอบในคำพูดและการกระทำ

..............

(หมายเหตุ : จบศึกซักฟอกสงครามไม่จบ :  ขยายปมร้อน โดยขนิษฐา เทพจร)