
กรรมสิทธิ์ที่ดินเรื่อง'จิ๊บจ๊อย'จุฬาฯไล่อุเทนถวายเพราะเหตุใด
กรรมสิทธิ์ที่ดินเรื่อง'จิ๊บจ๊อย'จุฬาฯไล่อุเทนถวายเพราะเหตุใดกันแน่? : กระดานความคิด โดยเสก สามย่าน www.oknation.net/blog/seksamyan
ความเคลื่อนไหวล่าสุด ของคณะศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ได้รวมตัวกันไปทวงถามความคืบหน้าจากสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 14 มิถุนายน หลังจากที่ได้ไปยื่นจดหมาย เรื่องขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนให้แก่โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา
จุฬาฯ โดยรองอธิการบดี นายบุญไชย สถิตมั่นในธรรม ยืนยันชัดเจนว่า “เป็นไปไม่ได้” เพราะมี พ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2551 กำกับ แม้จะอยากทำแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะขัดต่อกฎหมาย พร้อมทั้งชวนให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เข้ามาเป็นคนกลางในการแก้ปัญหา ทั้งการหาพื้นที่ใหม่ให้อุเทนถวายและช่วยตัดสินใจเชิงนโยบายเพื่อให้เรื่องเดินหน้า
และระบุด้วยว่า จุฬาฯ ไม่ได้เร่งรัดให้ต้องย้ายออกในเร็ววัน เพราะเข้าใจดีว่าต้องใช้เวลาในการจัดเตรียมพื้นที่ และต้องได้รับงบประมาณสนับสนุนด้วย
ถือว่าเป็นคำตอบ ที่ยังไม่อาจนำมาซึ่งทางออก ของกรณีพิพาทเรื่องที่ดินระหว่างสองสถาบัน
ลำดับความย้อนไป ความขัดแย้งเริ่มขึ้นเมื่อ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ขอพื้นที่คืนจาก “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย” เพื่อใช้พื้นที่สร้าง "ศูนย์นวัตกรรมงานสร้างสรรค์เพื่อชุมชนยั่งยืน" ซึ่งเป็นโครงการที่ได้วางไว้ตามแผนแม่บทพัฒนามหาวิทยาลัย ภายหลังจากที่อุเทนถวายครบกำหนดตามสัญญา “เช่าที่” จากจุฬาฯ ตั้งแต่ปี 2546
แต่วิทยาเขตอุเทนถวายไม่ยินยอมย้ายออก จนนำไปสู่การฟ้องร้อง มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กยพ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ตัดสินชี้ขาดเมื่อปี 2552 ให้วิทยาเขตอุเทนถวายย้ายออกจากที่ดินแปลงดังกล่าว แต่วิทยาเขตอุเทนถวายได้ยื่นข้อเสนอขอเช่าที่ดินต่อเพื่อดำรงสถาบันไว้ ณ ที่ตั้งเดิม แต่ไม่สามารถตกลงกันได้
ทางอุเทนถวายเองก็ดูจะยอมรับเงื่อนไขข้อยุติกฎหมายตามบริบทในปัจจุบัน ความเคลื่อนไหวของศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันตามที่ได้ยื่นหนังสือถึงจุฬาฯไปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม จึงเห็นได้ชัดว่าออกไปในทางอ้อน “ขอความเป็นธรรม” จากจุฬาฯ เสียมากกว่า
ได้หรือไม่ได้ ดูท่าทีล่าสุดจากจุฬาฯ ก็คงพอจะเดาออก ในเมื่อยังยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่า ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินขนาด 21 ไร่ ริมถนนพญาไทผืนนี้ จะขอพื้นที่คืนเพื่อสร้างศูนย์นวัตกรรมงานสร้างสรรค์ฯ
พร้อมให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า พื้นที่ที่ขอคืนไป ก็นำไปใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษา ตามนโยบายขยายพื้นที่การศึกษา ไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เพราะจุฬาฯ เองก็มีการแบ่งสัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินของตัวเองชัดเจนอยู่แล้ว
“จุฬาฯ ยืนยันว่า ยังจำเป็นต้องขยายเขตการศึกษาออกไป เพราะปัจจุบัน จุฬาฯ มีจำนวน นิสิต 40,000 คน คณาจารย์ บุคลากร รวมกว่า 8,000 คน และด้วยจำนวนบุคลากรที่มาก จึงจำเป็นต้องขยายเขตการศึกษาออกไป เพื่อสร้างองค์ความรู้พัฒนาประเทศ” รองอธิการบดี นายบุญไชย กล่าวสำทับ (14 มิ.ย.)
มีหลายฝ่ายเคยเสนอทางออกของเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ อาทิ เดชา บุญค้ำ มองว่า ความขัดแย้ง อุเทนฯ-จุฬาฯ เป็นเรื่อง "จิ๊บจ๊อย" มาก ต่างฝ่ายต่างมี “อัตตา” ถ้าโยนทิ้งไป อาจหาทางออกแบบวิน-วินได้มากกว่า โดยเมื่อเชื่อมโยงไปถึงสถานการณ์ด้านอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศไทย ที่จะแห้งเฉาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจากเออีซี จึงมีข้อเสนอว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีการจัดตั้งสำนักวิชานวกรรมศาสตร์ (เทียบเท่าคณะวิชา) ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโอนวิทยาลัยก่อสร้างอุเทนถวาย (ชื่อเดิม) มาอยู่ในสำนักวิชานี้ และใช้ชื่อว่า "สำนักวิชานวกรรมศาสตร์อุเทนถวายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
ทั้งนี้ โครงการนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่และเกือบเป็นผลสำเร็จสามารถเปิดรับนิสิตรุ่นแรกได้มาแล้วตั้งแต่ปี 2542 และได้มารื้อฟื้นอีกครั้งในปี 2548 ทั้งสองครั้งอับปางด้วยพายุอัตตา แม้ได้เคยไหว้วอนทั้งสภาและสมาคมสถาปนิกและวิศวกรให้ช่วยหนุนก็ไม่สำเร็จ อันที่จริงก็เป็นหลักสูตรมาตรฐานสากลที่เปิดสอนระดับมหาวิทยาลัยในโลกนี้มานานแล้ว บางแห่งมากกว่า 70 ปี
เดชา สรุปปิดท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า ดังนั้น สำนักวิชานวกรรมศาสตร์อุเทนถวายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือการ "ตอบโจทย์" ที่จะทำให้ประวัติศาสตร์และเกียรติภูมิอันยาวนานของชาวอุเทนถวาย จะยังคงอยู่ได้ต่อไปอีกหลายศตวรรษ จุฬาฯ ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกคืนที่ดิน ประเทศไทยก็จะค่อยๆ พ้นวิกฤติขาดความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่อาจถูกกลืนได้ง่ายๆ
ดังนั้น เมื่อมองให้กว้างกว่าการตัดสินใจขอพื้นที่คืน บนฐานของข้อยุติทางกฎหมายและแผนการดำเนินการพัฒนามหาวิทยาลัย หากแต่คุณค่าทางประวัติศาสตร์และการศึกษาของโรงเรียนช่างก่อสร้างแห่งหนึ่ง การพัฒนาวงการวิชาชีพก่อสร้างไทยในอนาคต และการเลือกทำให้พื้นใดพื้นที่หนึ่งดูสะอาด น่านับถือ เป็นสิ่งที่จุฬาฯ ได้เคยคำนึงถึงบ้างหรือไม่