คอลัมนิสต์

หิ้ว ‘เณรคำ’ กลับไทย !?

หิ้ว ‘เณรคำ’ กลับไทย !?

17 ก.ค. 2560

ต้องรอดูต่อไปว่าการเดินทางไปสหรัฐฯ ของอัยการและดีเอสไอเพื่อนำตัว ‘เณรคำ’ กลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในไทย จะประสบผลสำเร็จหรือไม่


               หลังจากเผ่นหนีหมายจับของศาลอาญาไปตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว... ปี 2556 มาถึงตอนนี้ก็มีข่าว ศาลแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้ส่งตัว นายวิรพล สุขผล หรือ อดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘เณรคำ’ อดีตประธานสงฆ์ สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ เป็นผู้ร้ายข้ามแดนให้กับทางการไทยตามคำขอแล้ว ซึ่งทางอัยการไทยและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้เดินทางไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา เพื่อนำตัว ‘เณรคำ’ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย แต่ต้องรอดูว่า ‘เณรคำ’ จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์คดีต่อหรือไม่ เนื่องจากศาลแคลิฟอร์เนีย เป็นเพียงศาลชั้นต้นเท่านั้น โดยครบกำหนดเวลาที่ ‘เณรคำ’ จะต้องใช้สิทธิ์อุทธรณ์ภายในวันที่ 18 หรือวันที่ 19 ก.ค. นี้

               ทั้งนี้หาก ‘เณรคำ’ ไม่อุทธรณ์คดี ทางเจ้าหน้าที่ไทยที่เดินทางไป ก็จะเข้าควบคุมตัว นำกลับไทยทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอซึ่งเป็นเจ้าของคดีตั้งแต่ต้น ก็จะทำการแจ้งข้อหาให้ ‘เณรคำ’ ทราบ พร้อมไปกับทำการสอบปากคำ ‘เณรคำ’ ไปว่าจะรับสารภาพหรือปฏิเสธ ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอแจ้งข้อหาและสอบปากคำเสร็จแล้ว ก็จะส่งตัว ‘เณรคำ’ ให้กับอัยการคดีพิเศษ เจ้าของคดี เพื่อนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลต่อไป เนื่องจากก่อนหน้านี้อัยการได้สั่งฟ้องคดีไปเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังยื่นฟ้องไม่ได้เนื่องจากยังไม่ได้ตัว ‘เณรคำ’ มาฟ้องศาล ส่วนอัยการจะคัดค้านประกันตัวหรือไม่ ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการสำนักงานคดีพิเศษว่าจะพิจารณาอย่างไร และถ้าฟ้องแล้วก็จะเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่

               ก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุด ในฐานะผู้ประสานงานกลาง ตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 ได้รับคดีการขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน อดีตพระเณรคำจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และทางอัยการได้ยื่นคำร้องพร้อมพยานหลักฐานต่างๆ ต่อทางการสหรัฐฯ ขอให้ดำเนินการส่งตัว อดีตพระเณรคำ ซึ่งถูกกล่าวหา ฉ้อโกง , กระทำชำเราผู้เยาว์ และฟอกเงิน และสำนักงานอัยการต่างประเทศ ได้ประสานกับทางการสหรัฐฯ มาโดยตลอด ตามขั้นตอนของกฎหมาย จนในที่สุดก็สามารถติดตามจับกุมอดีตพระเณรคำได้เมื่อปี 2559 โดยไทยและสหรัฐฯ มีความร่วมมือต่อกันในสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

               สำหรับคดีอาญาของ ‘เณรคำ’ นั้น อัยการได้รับสำนวนคดีจากดีเอสไอ ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย. 2556 ซึ่งมีเอกสารหลักฐานร่วม 216 หน้า ประกอบความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระเณรคำ ทั้งข้อหา พรากผู้เยาว์ , อนาจารผู้เยาว์ และกระทำชำเราผู้เยาว์

               นอกจากนี้ ยังมีคดีฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีเจ้าทุกข์ร้องเรียนต่อดีเอสไอกว่า 10 รายด้วยกัน

               ‘เณรคำ’ ยังโดนคดีฟอกเงินอีกด้วย โดยคดีดังกล่าวอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้ทรัพย์สินของนายวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก กับพวก รวม 8 คน หลายรายการรวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

               คดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากหลวงปู่เณรคำถูกตั้งข้อกล่าวหา ฉ้อโกงประชาชน ฟอกเงิน และพรากผู้เยาว์ ทำให้ ดีเอสไอ แจ้งดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมายการฟอกเงินด้วย ซึ่งคณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ส่งสำนวนให้อัยการ ยื่นคำร้องต่อศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ประกอบด้วย ที่ดิน บ้าน บัญชีเงินฝาก และรถยนต์ หลายสิบล้านบาท ที่ ปปง.อ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด

               และยังมีคดีที่หญิงสาวอ้างว่า เป็นอดีตภรรยาของนายวิรพลหรืออดีตพระวิรพล ยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดศรีสะเกษ ในคดีแพ่ง เรียกร้องค่าเสียหายและค่าเลี้ยงดูจากนายวิรพล เป็นเงินกว่า 40 ล้านบาทอีกด้วย

               สำหรับนายวิรพลหรืออดีตพระเณรคำ เป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอายุ 38 ปี อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ที่วัดศรีนวล ได้ฉายาว่า “พระวิรพล ฉัตติโก” จากนั้นไปจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ขันติธรรม ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้เองคือจุดกำเนิดของ “หลวงปู่เณรคำ” สำนักสงฆ์ดังกล่าวตั้งอยู่ในจังหวัดศรีษะเกษ ซึ่งเรียกกันติดปากว่า “วัดป่าขันติธรรม” โดยสร้างชื่อเป็นพระที่วัตรปฏิบัติเคร่งครัด เดินทางจาริกธุดงค์

               ช่วงที่ได้รับความเลื่อมใสสูงสุด “หลวงปู่เณรคำ” ได้ออกหนังสือชื่อ “ชาติหน้าไม่ขอมาเกิด” ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ลูกศิษย์ แต่ก็ได้รับคำติคำวิจารณ์ว่าเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม ว่าเป็นการสำเร็จพระอรหันต์หรือไม่ ? จากนั้นเริ่มมีข่าวลือและภาพเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียในปี 2556 เกี่ยวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทั้งการนั่งเครื่องบินส่วนตัว การสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพง การถ่ายภาพคู่กับรถเบนซ์ รวมไปถึงภาพที่ถูกอ้างว่าเป็นภาพเสพสังวาสกับหญิงสาว โดยเณรคำ กล่าวอ้างว่าเป็นพี่ชายที่หน้าตาคล้ายกันเท่านั้น

               นอกจากนี้ ยังมีหญิงที่อ้างตนว่าตั้งครรภ์กับเณรคำท้าให้พิสูจน์ดีเอ็นเอ (DNA)

               หลังจากมีข่าวอื้อฉาวและถูกออกหมายจับเป็นคดี ‘เณรคำ’ จึงได้หลบหนีและมีภาพปรากฏตัวที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา และมีข่าวลือว่าไปอาศัยอยู่กับอดีตพระยันตระ

               ต่อมาชัดเจนว่า ‘เณรคำ’ หนีไปพำนักที่วัดป่าขันติบารมี ซึ่งตั้งอยู่เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย และยังมีการจัดพิธีทำบุญกับผู้เลื่อมใสอย่างต่อเนื่อง และมีแผนพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็นสำนักสงฆ์ของพุทธศาสนาแห่งใหม่ เป็นนิกายใหม่ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ไทย และอ้างว่าได้สถานะผู้ลี้ภัย รวมไปถึงกรีนการ์ดเป็นพลเมืองสหรัฐฯ แล้ว

               จนกระทั่งเมื่อปี 2559 มีข่าวว่า ทางการสหรัฐฯ ได้เข้าจับกุมตัว ‘เณรคำ’ ในฐานะผู้ร้ายหลบหนีเข้าประเทศ ในข้อหา ฉ้อโกงและพรากผู้เยาว์ ทางการสหรัฐฯ ได้นำตัวเณรคำขึ้นศาลชั้นต้นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยทนายของเณรคำพยายามยื่นประกันตัว อ้างว่ามีปัญหาสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้รับการประกัน ทำให้ต้องอยู่ที่เรือนจำ

               อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูต่อไปว่า การเดินทางไปสหรัฐฯ ของอัยการและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในครั้งนี้ เพื่อนำตัว ‘เณรคำ’ กลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ หรือต้องรอกันต่อไป เพราะโอกาสที่ ‘เณรคำ’ จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสหรัฐฯ ก็มีอยู่สูง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ต้องรออีกนานพอสมควรกว่าที่ผลอุทธรณ์จะออกมา

--------------------

 คดีที่ ‘เณรคำ’ ถูกดำเนินคดี

- พรากผู้เยาว์ , อนาจารผู้เยาว์ , กระทำชำเราผู้เยาว์ อายุไม่เกิน 15 ปี

- ฉ้อโกงประชาชน

- ฟอกเงิน

-คดีหญิงสาวอ้างเป็นอดีตภรรยา ยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดศรีสะเกษ ในคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายและค่าเลี้ยงดูกว่า 40 ล้านบาท

--------------------