คอลัมนิสต์

ชำแหละ !! "เสี่ยล่าเสือดาว" รอด-ไม่รอด คุก!!

ชำแหละ !! "เสี่ยล่าเสือดาว" รอด-ไม่รอด คุก!!

09 ก.พ. 2561

ผู้เชี่ยวชาญสัตวป่าวิเคราะห์.... "เสี่ยล่าเสือดาว" จะรอด หรือไม่รอด เพราะปมไหนบ้าง

         

           ภาพเนื้อสดๆ ของเสือดาวที่ถูก “กลุ่มนายพรานเสี่ยเปรมชัย” แล่อย่างดีเป็นชิ้นๆ เตรียมปิ้งย่างต้มกินนั้น สร้างความสะเทือนใจให้ผู้คนในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มนักอนุรักษ์สัตว์ป่าที่รู้กันดีว่า “เสือดาว” เป็นสัตว์สงวนของโลก และถือเป็น “สัตว์ป่าคุ้มครอง” ตามกฎหมายไทย

           เนื่องจากเหลืออยู่ในโลกมนุษย์อีกไม่ 2 พันกว่าตัวเท่านั้น ส่วนในไทยน่าจะเหลือประมาณ 100 กว่าตัวเท่านั้น!

           เสือดำกับเสือดาว เป็นพันธุ์เดียวกันเพียงแต่ “เสือดำ” คือเสือดาวที่มีความผิดปกติในเม็ดเลือดสี สาเหตุที่เสือชนิดนี้เป็นที่ต้องการในหมู่นักล่าสัตว์ป่า เพราะหนึ่ง เป็นสัตว์ตัวไม่ใหญ่มากหนัก 50–60 กก. หน้าตาน่ารักมีลายจุดขยุ้มบนหนังสีน้ำตาล เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนเสือตัวอื่น ทำให้สวนสัตว์ทั่วโลกอยากได้เลี้ยงโชว์ ส่วนกรณีที่สอง เสือดาวที่สีผิดเพี้ยนเป็นสีดำนั้น กลายเป็นที่ต้องการของกลุ่มนักยาโป๊ เชื่อว่าจะช่วยให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้น เสือ 1 ตัวกินได้ทั้ง เนื้อ เขี้ยว เล็บ ส่วนหนังเสือถือเป็นของสะสมราคาแพง

โดยเฉพาะ “จู๋เสือ” ที่เชื่อกันว่าช่วยเพิ่มพลังทางเพศ!

คดีนี้ยังไม่รายละเอียดออกมาว่า เสือดำ ที่ถูกอาเสี่ยแล่เนื้อออกมานั้น เป็นตัวผู้หรือตัวเมีย มีจู๋เหลืออยู่หรือไม่?

           หากผู้ก่อคดีสะเทือนขวัญคนรักเสือแบบนี้ ชาวบ้านทั่วไปอาจช่วยกันรุมประชาทัณฑ์กันเล็กๆ น้อย ก่อนมอบให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้คงลากคอส่งเข้าไปนอนในคุกทันที ระหว่างรอดำเนินคดี...ไม่ต้องมาเสียเวลาถามไถ่ว่าทำผิดจริงหรือไม่

           ย้อนไปพื้นที่ก่อเหตุของแก๊งเสี่ยเปรมชัย หรือ นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างอันดับหนึ่งของไทย พร้อมพวกอีก 3 คนถูกจับกุมขณะลักลอบตั้งแคมป์พักแรมบริเวณห้วยปะชิ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก หลักฐานสำคัญที่พบคืออาวุธปืนและลูกกระสุน 3 กระบอกเป็นอาวุธปืนยาวขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนไรเฟิลติดลำกล้องจำนวน 1 กระบอกและอาวุธปืนลูกซองแฝด จำนวน 1 กระบอก พร้อมลูกกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง

             

           ส่วนหลักฐานเนื้อสัตว์มีทั้งซากไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง และหนังเสือดำถูกถลกสดๆ พร้อมด้วยเนื้อสัตว์แล่เป็นเนื้อแดงๆ หลายกิโลกรัม แก๊งอาเสี่ยทั้งหมดให้การปฏิเสธ บอกเพียงว่าหลงทางเข้ามา เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ

           ระหว่างนี้ช่วงเช้าวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ภาพการจับกุมถูกเผยแพร่ออกไปทั่วสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้เกิดกระแสกดดันว่า เสี่ยมหาเศรษฐีแปลงกายเป็นนายพรานล่าเสือนั้น จะมีความผิดอะไรได้บ้าง

            วันที่ 7 กุมภาพันธ์ เสี่ยเปรมชัยได้รับการปล่อยตัวเป็นการชั่วคราว ศาลให้ประกันตัวด้วยวงเงินคนละ 150,000 บาท หลังควักจ่าย 6 แสนบาท ตอนนี้ทุกคนกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว

            แต่คำถามสำคัญที่ยังค้างคาในใจผู้คนที่ติดตามคดีนี้ คือ

  “เสี่ยจะรอดคุกหรือไม่รอด?”

           “สุรพล ดวงแข” อดีตคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติผู้คลุกคลีอยู่ในวงการตามล่ากลุ่มทำลายล้างสัตว์สงวนมาตลอดหลายสิบปี วิเคราะห์ให้ฟังว่า เบื้องต้นความผิดตามหลักฐานที่พบในคดีนี้แบ่งเป็นกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ, พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ และกฎหมายอาวุธปืน แต่ที่มีโทษหนักสุดน่าจะเป็นกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ระบุไว้ว่าห้ามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและห้ามล่าสัตว์ป่าในเขตคุ้มครอง โทษจำคุก 4-5 ปี รวมถึงการครอบครองส่วนซากสัตว์ป่าและซ่อนเร้นเนื้อสัตว์นั้นโทษ 1–4 ปี

           “เท่าที่ดูจากหลักฐานที่เผยแพร่ออกมาทางสื่อต่างๆ คิดว่าคดีที่ทั้งกลุ่มนี้ต้องโดนแน่ๆ คือ การเข้าไปล่าสัตว์ในเขตหวงห้าม แต่หลักฐานยังไม่ชัดนักเพราะไม่ได้จับตอนที่กำลังซุ่มยิง แต่มาจับตอนพักผ่อนอยู่ในเต็นท์แล้ว ทำให้อาเสี่ยอ้างได้ว่าตัวเองไม่ได้ยิง ลูกน้องไปยิงกันเอง คดีแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับการเขียนสำนวนของเจ้าหน้าที่และการซักค้านของอัยการว่าจะเข้มข้นมากน้อยแค่ไหน เพราะหลักฐานที่เห็นถ้าศาลไม่เชื่อว่าเป็นของคนใดคนหนึ่งก็อาจสั่งจำคุกทุกคนก็ได้ แต่บางครั้งคดีแบบนี้ก็หลุดรอดเพราะหลักฐานที่มีไม่มัดแน่นพอ”

             ชำแหละ !! \"เสี่ยล่าเสือดาว\" รอด-ไม่รอด คุก!!

           “สุรพล” กล่าวสรุปให้ฟังว่า ถ้าคดีนี้อาเสี่ยจะ “รอดคุก” ได้ก็เพราะศาลสั่งไม่จำคุกเลยเนื่องจากหลักฐานไม่ชัดเจน หรืออาจเป็นเพราะการต่อสู้คดีของอัยการเป็นการไต่สวนแบบเบาๆ ไม่ได้มุ่งเอาผิดเต็มที่ ซักค้านกันไปมาๆ ไม่ได้สืบค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมแบบจริงจังมากนัก ถ้าสำนวนคดีเป็นแบบนี้ก็จะโดนแค่โทษปรับ เท่าที่เห็นตอนนี้คือ ข้อหาล่าสัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาต อาจมีแค่คนเดียวรับสารภาพแล้วติดคุกไป ส่วนคนอื่นอาจอ้างว่าไม่เกี่ยวข้อง หรืออาจโดนแค่มีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครอง

           ในอีกมุมมองหนึ่งอาเสี่ยอาจ “ไม่รอดคุก” หากคดีนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน มีการกดดันให้ทีมอัยการทำงานเต็มที่ สื่อมวลชนเข้าไปฟังการไต่สวนในชั้นศาล เฉพาะหลักฐานที่มีอยู่ในวันนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่อัยการจะเอาเข้าคุกได้คดีนี้อาจจบลงที่ศาลสั่งจำคุก

            “แต่อย่าลืมว่าผู้ต้องหาที่ไม่เคยมีคดีทำนองนี้มาก่อน แม้ศาลสั่งจำคุก อาจได้รับการ “รอลงอาญา” ที่ผ่านมาหลายคดีของพวกกลุ่มล่าสัตว์สงวนที่ศาลสั่งจำคุกแต่ให้รอลงอาญา ตอนนี้คงต้องลุ้นต่อไปว่า เจ้าหน้าที่ป่าไม้ชุดจับกุมนั้นจะมีหลักฐานเด็ดๆ อะไรเก็บไว้ แล้วค่อยเอามาปล่อยทีละส่วนหรือเปล่า เพราะเท่าที่รู้มาทีมนี้เจอคดีแบบนี้มาเยอะ อาจรู้เท่าทันเกมได้”

            ล่าสุดหลังแก๊งอาเสี่ยล่าเสือถูกควบคุมตัวโดยพนักงานครบ 48 ชั่วโมง วันที่ 7 กุมภาพันธ์  ก็ถูกตั้งข้อหาคดีล่าสัตว์ป่าพร้อมด้วยข้อกล่าวหาอื่นรวมเป็น 8 กระทง จากนั้นศาลจังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี อนุญาตให้ประกันตัวได้โดยผู้ต้องหาทั้งหมดยืนยันปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

           “วิทูล แย้มพราย” ทนายของเสี่ยเปรมชัยวางเงินประกันไว้ให้คนละ 1.5 แสนบาท พร้อมยืนยันว่าอาเสี่ยเปรมชัย ไม่เกี่ยวข้อง ได้ขอนุญาตเข้าไปในพื้นที่อย่างถูกต้องและได้รับการอนุญาตแล้ว แต่ช่วงเดินทางไม่ชำนาญทางและเป็นทางลักษณะคดเคี้ยวและเริ่มมืด ทำให้ต้องหาจุดกางเต็นท์

           เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เชื่อคำให้การทั้งหมดพร้อมประกาศว่ากองพิสูจน์หลักฐานจะลงพื้นที่ตรวจสอบและเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี  พร้อมให้ทีมเก็บ “คราบเขม่าดินปืน” ตามร่างกายของอาเสี่ยและพรรคพวกทั้งหมดเรียบร้อยแล้วเพื่อมาสืบหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ว่าบุคคลทั้ง 4 เกี่ยวข้องกับการยิงอาวุธปืนที่ตรวจยึดในที่เกิดเหตุหรือไม่ ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบประมาณ 30 วัน

           “ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบวัตถุระเบิด” แสดงความเห็นในเรื่องการตรวจหาเขม่าดินปืนที่ติดตามอวัยวะของอาเสี่ยและพรรคพวกว่า อาจเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้อาเสี่ย “ติดคุก” หรือ “ไม่ติดคุก” ก็ได้อยู่ที่วิธีการเก็บหลักฐานเพราะปืนยาวเหล่านี้เมื่อลั่นไกปืนเสร็จจะต้องมีเขม่าปลอกกระสุนติดตามนิ้วมือหรือร่างกายรวมถึงเสื้อผ้าอย่างแน่นอน

           “อาจติดคุกถ้าเจ้าหน้าที่รีบตรวจตั้งแต่จับกุมตัวใหม่ๆ เพราะทุกจังหวัดจะมีตำรวจหน่วยพิสูจน์หลักฐานอยู่แล้ว หลักฐานชิ้นนี้แน่นหนามาก ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวไม่ได้ แต่ถ้าปล่อยไว้นานหลายวันอาจไม่ติดคุกเพราะมีคนสอนให้ทำลายหลักฐาน วิธีทำลายเขม่าปืนไม่ได้ยากมากนักแต่ต้องอาศัยคนที่รู้วิธี จุดนี้น่าเป็นห่วง คงต้องรอทีมสอบสวนมาชี้แจงหลังได้ผลว่ามีเขม่าปืนที่นายเปรมชัยหรือไม่” ผู้เชี่ยวชาญข้างต้นกล่าว

           “ดำรง พิเดช” อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช วิเคราะห์ถึงจุดจบของคดีนี้ให้ฟังว่า อาเสี่ยเปรมชัยอาจรอดคุกถ้าหลักฐานตั้งแต่ต้นของทีมตำรวจไม่แน่นหนาพอ เฉพาะการอ้างถึงหลักฐานเขม่าปืนนั้น ตนเองเจอมาหลายคดีแล้วบางทีก็อ้างว่ายิงเล่นๆ ยิงขึ้นฟ้าไล่นก เพราะไม่มีคลิปวิดีโอหรือภาพถ่ายมาโชว์ว่าอาเสี่ยเป็นคนยิงเสือดาวจริงๆ

           “หรือถ้าจำนนต่อหลักฐานเชื่อว่าสุดท้ายคงต้องสู้กันหลายศาล แม้จะโดนโทษสั่งจำคุกเพราะหลักฐานแวดล้อมชัดเจน แต่มีความเป็นไปได้ว่าให้รอลงอาญา เพราะที่ผ่านมาคดีล่าสัตว์ป่าส่วนใหญ่รอลงอาญานอกจากคนทำผิดซ้ำซาก”

           อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ยอมรับว่าบทลงโทษของคดีล่าสัตว์ป่าสงวนของไทยนั้น ยังเบาอยู่มากเพราะแค่โทษจำคุก 4 ปี ปรับไม่กี่หมื่นบาท เนื่องจากมีความกังวลว่าหากกำหนดบทลงโทษไว้รุนแรงอาจทำให้ชาวบ้านที่เข้าไปเก็บของป่าหรือล่าสัตว์โดนจำคุกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จำนวนมาก

           "ผมเสนอไปหลายครั้งแล้วว่าให้แก้กฎหมาย โดยแบ่งไปเลยว่า ให้ระบุเป็นสัตว์สงวนประเภทไหน เช่น เข้าไปยิงช้าง ล่าช้าง ล่าเสือต้องโดนคุก 30-50 ปี แต่ถ้าเป็นสัตว์เล็กอาจโดน 10-20 ปี หรือแค่เป็นนกทั่วไปก็จำคุก 6 เดือนก็ได้ การแบ่งประเภทของสัตว์ไม่ใช่เรื่องยากเพราะที่ผ่านยิงนกกับยิงเสือใกล้สูญพันธุ์มีโทษรับผิดเท่าๆ กัน ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่สังคมกำลังตื่นตัว อยากให้ถือโอกาสปรับปรุงแก้ไขบทลงโทษให้เหมาะสมกว่านี้" นายดำรงกล่าวแนะนำทิ้งท้าย

           สรุปคือโอกาสที่คนไทยจะเห็น แก๊งอาเสี่ยล่าเสือดาว เข้าไปนอนในคุกมีความเป็นไปได้น้อยมาก นอกจากการดำเนิดคดีจะมีการวางแผนร่วมมือกันทุกหน่วยงานของรัฐและเอกชนเพื่อสอดประสานให้หลักฐานแน่นหนา ปิดช่องโหว่ทุกรูปแบบ พร้อมด้วยกระแสสังคมที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และไม่ยอมปล่อยคนทำผิดลอยนวล

           หลายคนมองว่าคดีนี้อาจแผ่วปลายเพราะ “คนไทย” มีนิสัยลืมอะไรง่ายๆ

           แต่ภาพหลักฐาน “น้องเสือดำ” ถูกแล่หนังสดๆ กางแผ่อยู่หน้าเต็นท์พักที่มีอาเสี่ยใหญ่นั่งอยู่ ภาพนี้คงทำให้คนไทยลืมยาก ....

           รวมถึงภาพอาวุธปีนยาวไรเฟิลประมาณ 40 กระบอกที่ตรวจค้นเจอที่บ้านอาเสี่ยเปรมชัยนั้น ทำให้เกิดปริศนาขึ้นในใจว่า  มีสัตว์สงวนจำนวนเท่าไรแล้วที่สังเวยชีวิตให้ปืนล่าสัตว์เหล่านี้.....