สู้ถึงฎีกา! ผิดตรงไหน? ชื่อ “คอมมิวนิสต์ไทย”
รู้ยัง! คณะบุคคลที่ก้าวออกมาขอจดแจ้งชื่อ พคท. เป็นองค์การนำชุดปัจจุบัน ที่ตัดสินใจก้าวเดินไปบนหนทาง “รัฐสภา” และขอเป็นพรรคการเมืองถูกต้องตามกฎหมาย!
ในวันที่กฎหมายคอมมิวนิสต์ยกเลิกไปนานนับสิบปี สิ่งหลายคนไม่คาดคิด ก็บังเกิดขึ้น เมื่อนายปฐม ตันธิติ ได้ขอยื่นจดแจ้งชื่อ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” (พคท.) ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเบื้องต้น กกต.จะไม่รับจดแจ้ง อ้างขัดรัฐธรรมนูญ และผิดกฎหมายพรรคการเมืองชัดเจน
ล่าสุด แฟนเพจ "พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย - 2485" ได้เผยแพร่คำชี้แจงถึงเหตุผลของ พคท. ที่ยื่นขอจดทะเบียนพรรคการเมืองต่อ กกต.ดังนี้
"1. พคท. เป็นพรรคการเมืองที่ยึดถือแนวทางสังคมนิยม จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2485 เพื่อร่วมกับประชาชนกอบกู้เอกราชของชาติไทยจากการยึดครองของ จักรวรรดินิยมญี่ปุ่น
"2.หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พคท.เป็นพรรคถูกกฎหมาย และมีผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคในรัฐสภาปี 2489 แต่เมื่อเกิดการรัฐประหาร และการจับกุมคุกคาม เข่นฆ่าจากเผด็จการในยุคต่อมา พรรคต้องลงสู่ใต้ดิน สมาชิกพรรคแยกย้ายไปต่อสู้ตามอุดมการณ์เพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชนด้วยรูปแบบต่างๆทั้งในเมือง ชนบท กระทั่งในเขตป่าเขา
“3.ในปี 2523 รัฐบาลไทยได้มีคำสั่งที่ 66/2523 เปิดโอกาสให้กองกำลังของ พคท. ยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธที่ดำเนินอยู่ในขอบเขตทั่วประเทศและเข้าร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทย ร่วมมือกับทางราชการเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดความเจริญแก่ชาติบ้านเมืองกับประชาชนไทยทุกภาค”
แหล่งข่าวในกลุ่มการเมืองปีกซ้ายกล่าวว่า หาก กกต.ตอบปฏิเสธการจดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนแล้ว ตัวแทน พคท. ก็จะเดินหน้ายื่นฟ้องศาลปกครองต่อไป โดยจะอ้างถึงเหตุผล 3 ข้อดังที่กล่าวมาข้างต้น
สำหรับผู้ที่ไม่ได้ติดตามการเคลื่อนไหวของ “สหายอาวุโส” ทั้งหลายมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะรู้สึกงงๆ และคาดไม่ถึงว่า ยังมีกลุ่มบุคคลที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์สังคมนิยม
ก่อนอื่นขอลำดับความเคลื่อนไหวของ พคท.แบบคร่าวๆ เริ่มแต่วันที่ 1 ธ.ค.2485 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการหลังการประชุมสมัชชาพรรคฯครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพฯ โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน และดำเนินกิจกรรมการเมือง พร้อมการขยายสมาชิกอย่างปิดลับ
ปี 2489 ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ส.ส.สุราษฏร์ธานี ได้เสนอยกเลิกพระราชบัญญัติการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2476 และที่ประชุมสภาฯ เห็นชอบ ประเสริฐจึงแจ้งต่อเลขาธิการรัฐสภาว่า ตนขอเป็น ส.ส.สังกัดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
8 พ.ย.2490 คณะทหารก่อการรัฐประหาร ทำให้ พคท.กลับไปสู่การเคลื่อนไหวใต้ดินอีกครั้ง และเมื่อวันที่ 13 พ.ย.2495 รัฐบาลประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495
นับแต่นั้นมา พคท.กลายเป็นพรรคการเมืองผิดกฎหมาย และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
7 ส.ค.2508 พคท.ประกาศวันเสียงปืนแตก และก่อตั้งกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.)
ยุครุ่งเรืองที่สุดของ พคท. มีกำลังพล(ทปท.) ราว 2 หมื่นคน จัดตั้งฐานที่มั่นหรือเขตจรยุทธใน 50 กว่าจังหวัดจาก 76 จังหวัดทั่วประเทศ
ปี 2521-2523 เกิดความขัดแย้งในหมู่พรรคพี่น้อง จีนรบเวียดนาม เวียดนามรบเขมรแดง ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อ พคท.ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็กดดัน พคท. ด้านหนึ่งปราบปรามทางทหาร อีกด้านหนึ่งประกาศนิรโทษกรรมทหารป่า
ปี 2530 พคท.ต้องยุติการต่อสู้อาวุธ เพราะองค์การนำตกอยู่ในสภาพยากลำบาก กองจรยุทธ์และเขตจรยุทธ์หดแคบลง นักรบ ทปท.เข้ามอบตัวกลายเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย”(ผรท.)
ปี 2542 มิตรสหายกลุ่มหนึ่ง คิดอ่านฟื้นฟูพรรคฯ จึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่งแต่ความเห็นยังไม่เป็นเอกภาพ จึงมิอาจบรรลุเป้าหมายเปิดประชุมสมัชชา พคท.ครั้งที่ 5
หลังรัฐประหาร 2549 เกิดความแตกแยกทางความคิดภายในหมู่สหาย ตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับนำ ฝ่ายหนึ่งเห็นดีเห็นงามกับการโค่นระบอบทักษิณ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับการยึดอำนาจของทหาร
ด้วยเกิดความแตกแยกกันหนัก “ธง แจ่มศรี” เลขาธิการ พคท. จึงออกแถลงการณ์ “ยุบองค์การนำ แต่ไม่ยุบพรรค” ทำให้คณะกรรมการกลาง พคท.ชุดสมัชชาฯ 4 ไม่พอใจ และกดดันให้ธงลาออกจากเลขาธิการพรรคฯ
ปี 2553 องค์การนำเสียงข้างมากได้ตั้งคณะกรรมการกลางชุดเฉพาะกิจ และแต่งตั้ง “สหายวิชัย ชูธรรม” เป็นเลขาธิการพรรคฯ คนใหม่แทนธง แจ่มศรี
สรุปว่า ชาวคอมมิวนิสต์ไทยได้แตกแยกแบ่งฝ่ายกันชัดเจนคือ กลุ่มพรรคเก่า ภายใต้การชี้นำของ “วิชัย ชูธรรม” กับกลุ่ม “ธง แจ่มศรี” ที่ไม่ยอมรับองค์การนำชุดวิชัย ชูธรรม ซึ่งกลุ่มหลังได้แยกตัวไปตั้ง “พรรคใหม่” แล้ว
คณะบุคคลที่ก้าวออกมาขอจดแจ้งชื่อ พคท. เป็นองค์การนำชุดปัจจุบัน ที่ตัดสินใจก้าวเดินไปบนหนทาง “รัฐสภา” และขอเป็นพรรคการเมืองถูกต้องตามกฎหมาย
คณะกรรมการกลาง พคท.วิงวอนให้คนไทยได้เข้าใจว่า "พคท.ก็เช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พรรคเราสามารถดำเนินกิจกรรมที่รับใช้ชาติและประชาชนซึ่งเรากระทำอยู่เป็นประจำในทุกวันนี้ได้อย่างเปิดเผยและถูกกฎหมาย"
ในอนาคต พคท.ยังมีความหวังที่จะได้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชาติบ้านเมือง
“พรรคเรามีความหวังว่าสังคมไทยจะต้องเปิดกว้างเพื่อระดมผู้รักชาติ รักความยุติธรรม และมีจิตสาธารณะที่เห็นแก่ส่วนรวม ร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อนำพาประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา ก้าวให้พ้นจากวังวนของปัญหาทั้งปวง”
พรรคคอมมิวนิิสต์แห่งประเทศไทย จะมีที่ยืนบนสมรภูมิเลือกตั้งหรือไม่นั้น? คาดว่า คงไม่จบที่ กกต.อย่างแน่นอน