เลือกตั้ง 2562 ไม่มี 50 ล้าน ชวด ส.ส.?
คอลัมน์... กระดานความคิด โดย... บางนา บางปะกง
ปลาย พ.ศ.ที่มีแต่ความครึกครื้น เพราะบรรดา “นักเลือกตั้ง” ได้เริ่มต้นการหาเสียงอย่างเป็นจริงเป็นจัง ประชุมสมาชิกพรรค เดินเคาะประตูบ้าน ตั้งเวทีปราศรัย และอื่นๆ อีกมากมาย
จะว่าไปแล้วนักเลือกตั้งมืออาชีพส่วนใหญ่ไม่เคยหยุดหาเสียง งานบุญ งานบวช งานแต่ง งานศพ ฯลฯ พวกเขาจะต้องไปปรากฏตัวในงานเหล่านั้น เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพ และที่สำคัญให้ประชาชนได้เห็นหน้า
อยากชวนผู้อ่านมาสดับทัศนะของครูบ้านนอกอย่าง “วีระ สุดสังข์” เกี่่ยวกับการเลือกตั้ง โดยครูนักเขียนคนนี้เขียนไว้ในเฟซบุ๊กชุด “ชีวิตหลังเกษียณ” ตอนที่ 23 ว่าด้วยบทบาทของ “หัวคะแนน” และอาณาประชาราษฎร์ในสังกัด
รัฐบาลใช้อำนาจมาตรา 44 ปลดล็อกให้พรรคการเมืองเคลื่อนไหวได้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา บรรยากาศทางการเมืองจึงคลายความอึดอัดและคึกคักมากขึ้น ความจริงพรรคการเมืองหลายพรรคแอบเคลื่อนไหวตั้งแต่ก่อนปลดล็อกแล้ว การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ประชาชนจึงกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง
รัฐธรรมนูญจะเขียนว่าอย่างไร? กฎหมายเลือกตั้งจะเขียนว่าอย่างไร? ผมไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทางบวกสำหรับการเมืองประเทศเรา รากฐานสังคมไทยมาจากเจ้าขุนมูลนายและสังคมทาสโอกาสที่ประชาชนจะมีสิทธิและการแสดงออกทางการเมืองเท่าเทียมกันเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง
ในสังคมหมู่บ้าน ผู้นำชุมชนอันประกอบด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต. และส.อบต. เป็นนักปกครองและมีบทบาททางสังคมสูง ส่วนชาวบ้านยังเป็นสังคมระดับล่างและมีสังกัด หลายคนสังกัดกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หลายคนสังกัดนายก อบต. ส.อบต. หลายคนขึ้นตรงกับทุกสังกัด
นอกเหนือจากหัวหน้าคุ้มบ้าน การขับเคลื่อนหรือการหาเสียงของนักการเมืองจึงพุ่งเป้าไปที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกอบต. และส.อบต. เพราะบุคคลเหล่านี้มีคะแนนอยู่ในมือ อาจเรียกว่า “ผู้กุมคะแนน” หรือ “หัวคะแนน” ไม่จำเป็นใดๆ ที่จะต้องลงลึกไปถึงประชาชนรายบุคคลให้เสียเวลา เพราะแท้จริงแล้วชาวบ้านที่สนใจการเมืองจริงๆ มีไม่เกิน 20% ที่เหลือ 80% แล้วแต่ผู้กุมคะแนนจะพาเลือกใคร?
ว่าที่ผู้สมัครส.ส.นั้น จะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ ผู้ชนะการเลือกตั้งจะต้องมีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วน คือ 1.เกียรติยศชื่อเสียงของตนเอง 20% 2.ทีมงานหรือผู้กุมคะแนนหรือหัวคะแนน 40% และ 3.เงิน 40%
หากมีครบ 3 ส่วนนี้อาจได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.แน่นอน เรื่องอุดมคติ อุดมการณ์ นโยบายพรรคไม่ใช่เงื่อนไขการเลือกตั้งแต่อย่างใด ว่าที่ผู้สมัครจะอยู่พรรคใดก็ได้ขอแต่มีเงิน ส.ส.คนหนึ่งในเขตเลือกตั้งที่มีประชากร 180,000 คน ต้องใช้เงิน 30-50 ล้านบาท ถ้าไม่มีเงินขนาดนี้อย่าเสียเวลาเดินเตร่บนถนนการเมือง
ไม่มีว่าที่ผู้สมัครส.ส.คนใดต้องการใช้เงินมากมายขนาดนี้ แต่เมื่อเป็นความต้องการของประชาชนบวกกับตนเองมุ่งมั่นจะเป็นส.ส.ให้ได้ จึงจำเป็นต้องมีเงินส่งผ่านทีมงานคุณภาพลงไปถึงประชาชน โปรดจงสำเหนียก อย่าคิดว่ามีเงินแล้วจะชนะเลือกตั้งเสมอไป เงินมากมายแค่ไหนก็ตาม หากคุณสมบัติประวัติของตนไม่สง่างามประกอบกับทีมงานไร้คุณภาพ เงินจำนวนนั้นอาจหายไปชั่วพริบตาหรือมีเงินแล้วอย่าคิดว่าจะแจกจ่ายได้ตามใจ เพราะมีพรรคคู่แข่งขัดขวางอยู่ เขากันไม่ให้เราแจกแต่เขาแจกได้แจกเอา
ลักษณะการเมืองไทยเป็นเช่นนี้ ผู้นำ ผู้มีบารมี ผู้มีอิทธิพล ผู้มีอำนาจ สามารถชี้นำแนวทางลงไปได้ตามลำดับจากระดับสูงสุดถึงระดับต่ำสุดคือชาวบ้าน เพราะฉะนั้นอย่าวาดหวังถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตามกฎหมายอันทันสมัยไทยแลนด์ 4.0
หนังสือความรู้ทางการเมืองที่นักวิชาการเขียนกับสภาพที่แท้จริงของชาวบ้านตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
ข้อเขียนของครูวีระ สุดสังข์ อาจทำให้นักรัฐศาสตร์หลายคนร้องกรี๊ดดด..กล่าวหาว่า ครูวีระไม่เห็นหัวคนจน ดูถูกชาวบ้าน “ขายสิทธิ์ขายเสียง”
สิ่งที่ครูวีระสะท้อนภาพนี้ มันคือความจริงของประเทศไทย ไม่ว่าชนบท หรือใจกลางกรุงเทพมหานคร ประชาชนล้วนมีสังกัด