คอลัมนิสต์

ไฟใต้ที่ไม่จินตนาการ

ไฟใต้ที่ไม่จินตนาการ

13 พ.ย. 2562

ไฟใต้ที่ไม่จินตนาการ คอลัมน์...  ล่าความจริง..พิกัดข่าว   โดย...  ปกรณ์ พึ่งเนตร

 

 

 


          เหตุฆ่าหมู่ 15 ศพ คาป้อม ชรบ.ใน ต.ลำพะยา จ.ยะลา ทำให้ข่าวสารจากชายแดนใต้ฟุ้งตลบ ข้อมูลหลายอย่างปรากฏออกมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แต่คำถามย้อนกลับก็คือ ข้อมูลเหล่านี้มีน้ำหนักความจริงแค่ไหน?

 

อ่านข่าว-เลขาฯสมช. เผย นายกฯ ไม่ได้กำชับเหตุยิง ชรบ.

 

 

 

 

          1.ข่าวผู้ก่อเหตุเป็น “นักรบรุ่นใหม่” ที่เพิ่งผ่านการฝึกและอิมพอร์ตมาจากอินโดฯ ข่าวนี้ “กูรู” การันตีว่าไม่จริง เพราะหลักฐาน วัตถุพยาน รอยเลือด และดีเอ็นเอที่พบในบริเวณที่เกิดเหตุชี้ไปยัง “นักรบหน้าเดิม” ที่เคยก่อเหตุรุนแรงขนาดใหญ่มาแล้วหลายครั้ง


          2.ข่าวบีอาร์เอ็นขยายข่ายงานด้วยการเพิ่มกำลังอีกกว่า 10,000 คน ข่าวนี้ก็ได้รับการยืนยันจากนายทหารในกองทัพภาคที่ 4 ว่าเกินจริงไปมากเช่นกัน สอดรับกับความเห็นของ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะนายทหารที่ศึกษาโครงสร้างบีอาร์เอ็นทะลุปรุโปร่งมากที่สุดคนหนึ่ง ที่ขยายความว่า บีอาร์เอ็นดูจะอ่อนกำลังลงด้วยซ้ำ เพราะข้อมูลล่าสุดที่ได้รับมาจากคนในขบวนการก็คือกองกำลังอาร์เคเคปัจจุบันราวๆ ครึ่งหนึ่งขาดการติดต่อ มีเพียง 30% เท่านั้นที่พร้อมทำงาน ส่วนอีก 20% ไม่พร้อมปฏิบัติการ แต่ยังให้การสนับสนุน เพราะบางคนเพิ่งแต่งงาน หรือมีลูกอ่อน


          3.ข่าวบีอาร์เอ็นออกแถลงการณ์ยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือโจมตีป้อม ชรบ.ที่ลำพะยา งานนี้คนในพื้นที่บอกว่าเพจบีอาร์เอ็นที่เผยแพร่แถลงการณ์เป็น “เพจไอโอ” แต่ไม่รู้ฝ่ายไหนไอโอ


          ขณะที่ พล.อ.สำเร็จ หัวเราะในลำคอและบอกว่า “ก็ฟังๆ ไป แต่อย่าไปเชื่อ” เหตุผลก็คือบีอาร์เอ็นเป็นองค์กรลับและมีลักษณะอนุรักษนิยม นโยบายชัดเจนไม่สื่อสารผ่านสื่อทางการ และไม่พูดคุยกับรัฐบาลไทย ฉะนั้นการสื่อสารต่อสาธารณะแต่ละครั้งจึงสรุปยากว่าเป็นของจริงหรือไม่จริง และเป็นท่าทีในนาม “องค์กร” หรือ “เฉพาะกลุ่ม”

 



          บทสรุปอย่างเป็นทางการของตำรวจภูธรภาค 9 ในฐานะเจ้าของคดี คือคนร้ายที่ปฏิบัติการที่ลำพะยา ประกอบกำลังจาก 2 กลุ่ม คือ “ทีมปัตตานี” นำโดย “3 พี่น้องตระกูลหลำโสะ” เคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และรอยต่อ 4 อำเภอของสงขลา จับมือกับ “ทีมยะลา” นำโดย นายฮูไบดีละห์ รอมือลี คุมพื้นที่ อ.ยะหา กาบัง และบันนังสตา โดยมี “กลุ่มหน้าขาว” หรือที่เรียกว่า “เปอร์มูดอ” ที่ผ่านการอบรม และยังไม่มีประวัติในคดีความมั่นคง เป็นทีมอำนวยความสะดวก


          ย้อนเกล็ดไฟใต้ในระยะ 2-3 ปีหลัง “ทีมยะลา” เงียบไปเยอะ เช่นเดียวกับ “ทีมนราธิวาส” แต่กลุ่มที่ปฏิบัติการถี่กว่า และร้ายแรงยิ่งกว่า รวมถึงใช้ไอเดียใหม่ๆ ในการโจมตีคือ “ทีมปัตตานี”


          คดีดังๆ ที่เชื่อมโยงทีมปัตตานี ก็เช่น คาร์บอมบ์หน้า “บิ๊กซี ปัตตานี” เมื่อ 9 พฤษภาคม 2560 คดีปล้นรถกระบะ 6 คันจากเต็นท์รถ “วังโต้ คาร์เซ็นเตอร์” ใน อ.นาทวี จ.สงขลา นำไปทำคาร์บอมบ์ เมื่อ 17 สิงหาคมปีเดียวกัน


          ส่วนในปี 2562 ก่อเหตุถี่ยิบยิ่งกว่า เช่น คดีโจมตีจุดตรวจ ชคต.บ้านกอแลปิเละ ต.ปะกาฮารัง อ.เมือง จ.ปัตตานี มีผู้เสียชีวิต 4 ราย เมื่อ 23 กรกฎาคม (หลังเกิดกรณีอับดุลเลาะ อีซอมูซอ หมดสติในค่ายทหารเพียง 3 วัน) คดีปล้นร้านทองใน อ.นาทวี เมื่อ 24 สิงหาคม คดีซุ่มยิง อส.ชุดคุ้มครองตำบลนาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อ 16 กันยายน และล่าสุดก็คือเหตุโจมตีป้อม ชรบ.ที่ลำพะยา เมื่อ 5 พฤศจิกายน


          คำถามคือคนกลุ่มเดิมๆ นี้ หลบหนีเจ้าหน้าที่หลังก่อเหตุรุนแรงสะเทือนประเทศไปได้อย่างไร พล.อ.สำเร็จ อธิบายว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีพื้นที่หลบภัยบนภูเขา ยกตัวอย่าง “เขานางจันทร์” ใกล้จุดเกิดเหตุที่ลำพะยา เป็นรอยต่อของ อ.เมือง อ.ยะหา จ.ยะลา กับ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เป็นพื้นที่ข่ายงานของบีอาร์เอ็นและพูโลเก่า แต่เทือกเขาแถบนี้เจ้าหน้าที่ไม่ค่อยขึ้นไปปฏิบัติการเหมือนแถบนราธิวาส เช่น เขาตะเว ทำให้คนร้ายอาจใช้เป็นแหล่งกบดาน โดยมีแนวร่วมคอยส่งเสบียงอาหาร


          ขณะที่ข้อมูลจากนายทหารระดับสูงที่เกาะติดพื้นที่ บอกว่าคนเหล่านี้มีหมู่บ้านที่เรียกว่า “ซัพพอร์ต ไซต์” ใช้สำหรับหลบซ่อน กบดานเป็นการเฉพาะ เช่นใน อ.นาทวี และสะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งหมู่บ้านเหล่านี้เป็นแนวร่วม แต่เจ้าหน้าที่อาจยังเข้าไม่ถึง 100%


          สอดรับกับ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ที่เปิดเผยเองเลยว่าผู้ก่อความไม่สงบตัวหลักๆ หลบอยู่ตามบ้านซึ่งดัดแปลงเป็น “ที่หลบภัย” ไปพร้อมกัน เช่น มีห้องลับในบ้าน มีชั้นใต้ดิน มีที่หลบใต้ซิงก์ล้างจาน


          กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คัดกรองหมู่บ้านต้องสงสัยที่เป็นแหล่งเคลื่อนไหวกบดานของผู้ก่อความไม่สงบได้ 118 หมู่บ้าน มีการจัด “ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์” เข้าไปปฏิบัติการ แต่ยังไม่ทันจะเห็นหน้าเห็นหลังก็มาเกิดเหตุที่ลำพะยาเสียก่อน โดยหมู่บ้านที่ตกเป็นเป้าหมายอยู่นอกบัญชี 118 หมู่บ้าน!


          นี่คือโจทย์ใหญ่ของฝ่ายความมั่นคงที่จะต้องสกัดจับ “กลุ่มหน้าเดิม-แกนนำตัวเอ้” ทั้งหลายให้ได้ โดยใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่


          เช่นเดียวกับโศกนาฏกรรมที่ป้อม ชรบ. ถึงเวลาแล้วที่ต้องนำความจริงมาพูดกันว่าช่องโหว่ช่องว่างที่นำไปสู่การถูกโจมตีเกิดจากอะไรกันแน่ โดยไม่ควรปิดบังข้อมูล หรือเกรงใจกัน เพราะนี่คือเดิมพันด้วยชีวิตคน!