บุคคลแห่งปี เพียงชายคนนี้... บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์
บุคคลแห่งปี เพียงชายคนนี้... บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์
โบราณบอก “ความดังไม่คงที่ ความดีสิคงทน” แต่ของ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ คือ “ความดีตีแบรนด์” เพราะเรื่องราวที่ทำมาตลอดหลายสิบปีของเขากำลังได้รับการพูดถึง บอกต่อ ฉายซ้ำ เหมือนเจ้าตัวกลับมาแจ้งเกิดอีกรอบ
แต่การแจ้งเกิดของเขาเป็นของจริง ของทน และน่าจะติดตัวอดีตพระเอกคนนี้ไปตลอดว่า แม้เขาอาจจะเป็นผู้ชายธรรมดาสำหรับหลายคน แต่กับผู้ยากไร้เขาคือ “ผู้วิเศษ”
แล้วทำไมตำแหน่ง “บุคคลแห่งปีประจำปี 2562” จะไม่เป็นของเขา
++
คน(ไม่)ธรรมดา
บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เด็กหนุ่มแห่งอีสานใต้ จ.สระแก้ว ที่หลังจบ ม.ปลายก็เดินทางมาไกลถึงกรุงเทพฯ ไม่แตกต่างจากเด็กต่างจังหวัดทั่วไป คือการเรียนหนังสือ
แต่แล้วเส้นทางของหนุ่มอาชีวะจากโรงเรียนกรุงเทพโปลีเทคนิค กลับกลายเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล เมื่อเขาตัดสินใจไปสมัครเป็นนักแสดงหน้าใหม่กับ “คมน์ อรรฆเดช”
บิณฑ์หรือตอนนั้นมีชื่อเดิมว่า “ท็อป บรรลือฤทธิ์” ก็ไปเข้าตาผู้กำกับได้เล่นหนังเรื่องแรก “ข้ามากับพระ” ในปี 2527 แน่นอนเรื่องนี้คือที่มาของการเปลี่ยนชื่อเป็น “บิณฑ์" เพื่อให้เข้ากับหนัง แต่ก็ได้ใช้ชื่อนี้มาตลอด
อย่างที่รู้เรื่องนี้ “สรพงษ์ ชาตรี” เป็นพระเอก แต่ไฟหลายดวงก็สาดส่องไปที่ดาวดวงใหม่ชื่อ “บิณฑ์” จนเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและมีผลงานละครโทรทัศน์เรื่องแรก “แผลเก่า” ในปี 2531 กับนางเอกนางงาม “เอ้" ชุติมา นัยนา
บิณฑ์ในวัยเพียง 26 ตอนนั้นจึงนับเป็นพระเอกใหม่ที่ทุกคนชื่นชอบส่งผลให้มีงานในวงการอีกเพียบทั้งจอแก้วและจอเงินขึ้นชั้นพระเอกเบอร์ต้นของบันเทิงไทย
แน่นอนคนไทยจดจำบิณฑ์ในฐานะพระเอกดัง หรือแม้แต่ผู้กำกับภาพยนตร์ที่บิณฑ์ผันตัวมาทำในภายหลังเช่น ตำนานกระสือ (2545), ช้างเพื่อนแก้ว (2546), ปัญญา เรณู (2554), กรรไกร ไข่ ผ้าไหม (2557), ทองดีฟันขาว (2559) และล่าสุด ฮักบี้ บ้านบาก (2562)
แต่สำหรับชีวิตทุกวันนี้ของบิณฑ์ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเป็นมากกว่านั้น
++
คนอาสา
คนไทยเห็นภาพบิณฑ์ว่าเป็น “ดารากู้ศพ” มาเนิ่นนานตั้งแต่ปี 2529 หรือหลังจากที่บิณฑ์ได้ชื่อว่าเป็นพระเอกดังแล้ว โดยร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู
เจ้าตัวเคยเล่าว่าที่เลือกร่วมงานกับ “มูลนิธิร่วมกตัญญู” เพราะในวัยเด็กซึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนเคยได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิร่วมกตัญญูกับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เลยฝังใจว่าวันหนึ่งถ้ามีโอกาสก็จะทำให้ได้อย่างนี้
จนพอเริ่มตั้งตัวติดมีชื่อเสียงเงินทองจากการทำงานวงการบันเทิง เขาจึงไม่รอช้าเลือกเข้าร่วมงานกับ “มูลนิธิร่วมกตัญญู” หลังจากเข้าไปร่วมกู้ภัยในเหตุตึกถล่มตรงข้ามโรงหนังเอเธนส์
ตอนนั้นบิณฑ์เล่าว่าไปในนามของ “คนอยากช่วย” เมื่อได้ยินข่าวว่าต้องการจิตอาสาช่วยคนที่ติดอยู่ในซากตึกถล่ม พอไปถึงเห็นสองมูลนิธิดังกำลังขมีขมันทำงาน แต่มองเห็นว่ามูลนิธิร่วมกตัญญูมีคนน้อยกว่า จึงเลือกเข้าไปช่วยเหลือทางนี้ก่อน
วันนั้นเจ้าหน้าที่เอาเสื้อร่วมกตัญญูมาให้ยืมใส่ แต่ถึงวันนี้เขาก็ยังไม่ถอดมันออก บิณฑ์ในวัย 57 ยังคงทำงานที่นี่ จากอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยให้มูลนิธิมาสู่ “ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษมูลนิธิร่วมกตัญญู”
และทุกครั้งที่เมืองไทยมีเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ ที่นั่นจะมีเขา ไม่ว่าจะทั้งสึนามิอันดามันปี 2547, เพลิงไหม้ซานติก้าผับปี 2552, อุทกภัยปี 2554 และเหตุการณ์ดังอย่างกรณี 13 หมูป่าติดถ้ำหลวง บิณฑ์และทีมไปลุยมาแล้ว ช่วยประสานเรื่องหน้ากากดำน้ำ อุปกรณ์ต่างๆ อีกด้วย
บอกอีกทีว่าแบรนด์บิณฑ์แข็งแกร่งขนาดที่คนไทยถ้าได้ยินชื่อ “บิณฑ์” จะนึกถึงคำว่า “พ่อพระ” คนเดือดร้อนถ้าเห็นบิณฑ์มาตรงหน้าก็จะคิดว่า “เทวดา”
ฉายาตอนบวชของบิณฑ์ว่า “อาจิตปุญโญ" ที่แปลว่า ผู้ทำบุญไว้ดีแล้ว จึงไม่ห่างไกลจากตัวตนที่แท้จริงของเขาเลย
++
คนลุยจริง
ถึงแม้ว่าบิณฑ์อาจไม่ใช่ดาราคนเดียวของประเทศนี้ที่ทำงานกับมูลนิธิร่วมกตัญญู หรืองานจิตอาสา แต่บิณฑ์แตกต่างตรงที่ “ทำถึง ลุยถึง"
เพราะนอกจากเป็นดารากู้ศพ บิณฑ์ยัง “กู้ชีวิต” อีกด้วย ถ้าใครติดตามการทำงานของบิณฑ์จากหน้าเฟซบุ๊กของเขาจะพบเห็นเรื่องราวการช่วยเหลือผู้คนมากมาย ทั้งบาดเจ็บ ล้มป่วย ยากจน แก่เฒ่าไร้คนดูแล ฯลฯ
โดยเฉพาะเรื่องของการช่วยเหลือคนชรา บิณฑ์บอกเสมอว่านี่คือ “ความปรารถนาอันแรงกล้า” ที่จะขอเข้าไปดูแลคนชราที่ถูกทอดทิ้ง
ไม่เพียงเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่พัก การรักษาพยาบาล แต่ยังจัดหาที่พักพิงให้เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจด้วยการควักเงินส่วนตัว บวกเงินบริจาคจากผู้คน สร้างบ้านให้ผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้ง ชื่อว่า “บ้านสุขสุดท้าย” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่ใน อ.ไทรน้อย นนทบุรี
บิณฑ์เล่าว่า “อยากให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกว่ามาอยู่ที่นี่ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น อยู่ดี กินดี มีคนดูแลจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต” วันนี้บ้านสุขสุดท้ายของเขาสามารถรองรับคนชราได้มากถึง 20 คน 20 เตียง
อย่างไรก็ดีเมื่อสูงสุดของความดีคือการช่วยเหลือดูแลผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่หากความดีจะส่องแสงจนส่งผลให้มีใครคนหนึ่งเข้ามาดูแลบิณฑ์บ้างก็เป็นสิ่งที่ต้องปรบมือ
ดังที่ไม่นานมานี้มีข่าวเกี่ยวกับบิณฑ์ก่อนหน้านี้ราว 2 ปีที่ทำเอาคนไทยน้ำตาซึม คือการที่เขาได้รับการดูแลจากผู้บริหารค่ายเครื่องดื่มชื่อดัง ที่ติดต่อเข้ามาขอมอบเงินดูแลค่าใช้จ่ายส่วนตัวของบิณฑ์ โดยให้เป็นเงินเดือนประจำเดือนละ 5 หมื่นบาท แต่พระเอกหนุ่มกลับขอนำเงินไปดูแลผู้ที่ถูกทอดทิ้งที่บ้านสุขสุดท้ายต่อไป ล่าสุดผู้บริการเจ้าเก่ายังขอเพิ่มเงินให้บิณฑ์อีกเป็นเดือนหนึ่งแสนบาท
บางทีฮีโร่ก็ต้องการคนช่วยดูแล จริงหรือไม่
++
คนเป็นเพชร
จะว่าไปข่าวคราวของบิณฑ์เริ่มมาแรงเอาช่วงน้ำท่วม 5 จังหวัดภาคอีสานช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อบิณฑ์พร้อมทีมงานร่วมกตัญญูอาสาเข้าไปช่วยเหลือกู้ภัยชนิดไม่ง้อ ไม่รอใคร
แต่เท่านั้นยังไม่พอบิณฑ์นอกจากควักเงินสดส่วนตัว 1.7 ล้านบาท ช่วยเหลือแล้ว ยังใช้เฟซบุ๊กของตนเองที่ไว้แจ้งข่าวสารต่างๆ ไลฟ์สดขอรับบริจาคเงินช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยทางภาคอีสาน ไม่กี่นาทีหลังพูดจบยอดเงินบริจาคช่วยน้ำท่วมที่ไหลเข้าบัญชีท่วมท้น
แน่นอนช่วงนั้นมีดราม่าเงินบริจาคออกมาพอให้เกรียนคีย์บอร์ดได้หายคันมือ บิณฑ์เองก็พยายามเดินหน้าต่อไปอย่างมีเป้าหมาย
ที่สุดช่วงสิ้นเดือนกันยายนภารกิจจบ-ประสบความสำเร็จ บิณฑ์ออกมาไลฟ์สดแจ้งข่าวปิดบัญชีรับบริจาคด้วยยอดที่พุ่งสูงถึง 422 ล้านบาท จากนั้นก็เดินทางทยอยส่งมอบเงินบริจาคครบหมดทุกพื้นที่ที่วางไว้
ไม่นานจากนั้นบิณฑ์และทีมงานก็เปิดแถลงข่าวยอดเงินบริจาครายละเอียดการส่งมอบที่ไหนยังไงยิบ! ช่วงวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา
แต่จนแล้วจนรอดดูเหมือนว่ากระแสสังคมในด้านลบก็ยังมีปรากฏจนพระเอกของเราต้องปรากฏตัวต่ออนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี ในสวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง เทศบาลนครอุบลราชธานี
วันนั้นบิณฑ์บอกว่าไม่ได้มาเพื่อสาบานแต่เป็นการมาบอกกล่าวให้ท่านทราบว่าเงินบริจาคทั้งหมดกว่า 422 ล้านบาท ไม่ได้คิดจะเอาเข้ากระเป๋าแม่แต่บาทเดียว หากคิดเอามาเข้ากระเป๋าขอให้มีอันเป็นไปด้วย
หัวใจคนไทยที่ยืนข้างบิณฑ์อาจแทบแหลกสลาย ทำไมพระเอกเหนื่อยแล้วยังต้องเจอแบบนี้ โดยตัวแทนองค์กรตรวจสอบทุจริตต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ภาคอีสาน เข้ายื่นเรื่องให้เจ้าหน้าที่ สภ.เมืองอุบลฯ ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินบริจาคของบิณฑ์ที่ไปช่วยน้ำท่วมภาคอีสานจำนวนดังกล่าว
แต่ถามหัวใจของบิณฑ์คงสบายๆ เพราะยังไงเพชรก็คือเพชร และสมควรแล้วที่เขาคนนี้จะเป็นบุคคลแห่งปีซึ่งคนไทยน่าจะยอมรับทั่วกัน