เลือกบัตร 2 ใบ "ประชาธิปัตย์" จุดแข็งชวน-จุรินทร์ มั่นใจกลับมา
โหวตแก้รัฐธรรมนูญ "ประชาธิปัตย์" เชื่อบัตร 2 ใบ นำพรรคกลับมา ชูจุดแข็งชวน-จุรินทร์ ฟื้นศรัทธาภาคใต้ คอลัมน์ท่องยุทธภพ โดยขุนน้ำหมึก
ทำไปทำมา พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เห็นพ้องต้องกันเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง ก็จะเหลือแค่ “ประชาธิปัตย์” และ “เพื่อไทย” ที่ยืนหยัดโหวตรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- แพ้แล้วแพ้อีก “ธนาธร” ลุยต่อ เดิมพันชิงนายก อบต.
- กลับกว๊านพะเยา “ธรรมนัส” ถอยในรุก ตัวละครลับหนุนหลัง
- แก้ รธน.บัตร 2 ใบ “ทักษิณ” กลับบ้าน 3ป.ไปต่อยาก
กองเชียร์ กปปส. อาจตั้งคำถามกับ “ประชาธิปัตย์” ว่า ทำไมสนับสนุนระบบเลือกตั้งแบบปี 2540 ที่ก่อให้เกิด “เผด็จการรัฐสภา”
วันที่ 9 ก.ย.2564 จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยืนยันว่า “การแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องของการที่จะใส่พานไปให้กับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เพราะถ้าดูประโยชน์ของพรรคการเมือง มันก็มีได้มีเสียกันทุกพรรค”
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ส.ส. 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน จะนำไปสู่ความเข้มแข็งของประชาธิปไตยระยะยาว ไม่ใช่ดูประโยชน์ส่วนพรรค
ลึกๆแล้ว แกนนำ ปชป. ไล่มาตั้งระดับชวน หลีกภัย จนมาถึงคณะกรรมการบริหารพรรค มองว่า ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม สูตรมีชัย ฤชุพันธ์ ทำให้มี “ส.ส.ปัดเศษ” ไม่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน
‘เสียงที่หายไป’
ถ้าย้อนดูการเลือกตั้งทั่วไปในรอบ 14-15 ปีที่ผ่านมา พบว่า พฤติกรรมของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ได้แบ่งเป็น 2 ขั้ว 2 พรรค ระหว่างเครือข่ายทักษิณ กับ “ประชาธิปัตย์”
เลือกตั้ง 6 ก.พ.2548 ตามกติกาบัตร 2 ใบ เขตเดียวเบอร์เดียว พรรคไทยรักไทย ได้ 18,993,073 คะแนน และพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 7,210,742 คะแนน
เลือกตั้ง 23 ธ.ค.2550 เปลี่ยนกติกาใช้บัตร 2 ใบ แต่เลือกตั้งพวงใหญ่ผสมบัญชีรายชื่อแบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ได้ 12,338,903 คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 34 คน และพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 12,148,504 คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 33 คน
เลือกตั้ง 3 ก.ค.2554 แก้กติกาเล็กน้อย ใช้บัตร 2 ใบ เขตเดียวเบอร์และบัญชีรายชื่อทั้งประเทศ พรรคเพื่อไทย ได้ 15,744,190 คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 61 คน และพรรคประชาธิปัตย์ 11,433,501 คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 44 คน
ดังนั้น การเลือกตั้งทั่วไปในสถานการณ์การเมืองอันร้อนแรง ประชาชนแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ตามกติกาบัตร 2 ใบ “ประชาธิปัตย์” จะได้ป็อปปูลาร์โหวตอยู่ประมาณ 11-12 ล้านเสียง
เลือกตั้ง 24 มี.ค.2564 กติกาสุดพิสดาร ใช้บัตรใบเดียว เขตเดียวเบอร์เดียว แต่การนับคะแนนบัญชีรายชื่อใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม
ผลคะแนนเลือกตั้งโดยรวม พรรคเพื่อไทย 7,881,006 คะแนน ,พรรคพลังประชารัฐ 8,441,274 คะแนน, พรรคอนาคตใหม่ 6,330,617 คะแนน และพรรคประชาธิปัตย์ 3,959,358 คะแนน
ปี 2554 ปชป.ได้ 11 ล้านเสียง แต่ปี 2562 ลดลงเหลือ 3 ล้านเสียง ก็มีสาเหตุมาจากยุทธวิธีการหาเสียงที่ผิดพลาด ทำให้มวลชนที่ไม่เอาระบอบทักษิณ เทคะแนนไปให้พลังประชารัฐ ทั้งในกรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคใต้
ดังนั้น หากกลับมาใช้กติกาบัตร 2 ใบ แยกเลือกพรรค เลือกคน ก็จะทำให้ ปชป. มีโอกาสกลับมาได้ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า ถึงไม่ใช่พรรคอันดับ 1 แต่ก็ไม่หลุดอยู่อันดับ 4 เหมือนสมัยที่แล้ว
‘2 ใบกลับมา’
“ประชาธิปัตย์” รู้ดีว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน กระแส “ประยุทธ์” ไม่ได้แรงเหมือนปี 2562 บวกกับความผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาโควิด ทำให้คะแนนนิยมของประยุทธ์ลดลงฮวบฮาบ
ตัวอย่างภาคใต้ เลือกตั้งปี 2554 ปชป.ได้ ส.ส.เขต 50 คน จากทั้งหมด 53 คน แต่เลือกตั้งปี 2562 ปชป.เสียที่นั่งไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ได้ ส.ส.เขต 22 คน จาก 50 คน
ความปราชัยครั้งที่แล้ว อาจเกิดจากความผิดพลาดในคำขวัญทางยุทธวิธี หากมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ ใช้จุดแข็งความเป็น “ประชาธิปัตย์” สถาบันพรรคการเมือง และ “ชวน หลีกภัย” นักการเมืองผู้ยึดอุดมการณ์ประชาธิปไตย ก็เชื่อว่าน่าจะเรียกคืนศรัทธากลับมาได้
สำหรับภาคกลาง(รวมตะวันออกและตะวันตก) ปี 2554 ปชป.ได้ 37 คน จากทั้งหมด 127 คน มาเลือกตั้งปี 2562 ปชป.ได้เพียง 15 คน จากทั้งหมด 121 คน เนื่องจากเลือกตั้งหนที่แล้ว กระแสลุงตู่-ธนาธร มาแรงในภาคกลาง ทำให้อดีต ส.ส.ค่าย ปชป.สอบตกแบบไม่น่าเชื่อ รวมถึงกรุงเทพมหานคร
ดังนั้น การได้กลับไปใช้กติกาบัตร 2 ใบ “ประชาธิปัตย์” ก็มั่นใจว่าจะกลับมา และไม่ได้แค่ 3 ล้านเสียงเหมือนปี 2562 แน่นอน