ทิศทางพัฒนา สายตา พลเดช “ฟื้นฟูทุนทางสังคม จากสถานการณ์วิกฤตโควิด”
การฟื้นฟูทางสังคมในวิกฤตโควิด ควรทำอย่างไร "พลเดช ปิ่นประทีป ซึ่งทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมท้องถิ่น เสนอแนะต่อรัฐบาลให้นำบทเรียนรู้จากโครงการกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม มาปรับใช้ ติดตามได้จากเจาะประเด็นร้อน พลเดช ปิ่นประทีป
บทเรียนของกองทุนSIF หลังวิกฤตเศรษฐกิจ
เพื่อเป็นการฟื้นฟูทุนทางสังคม แก้ไขปัญหาผลกระทบของประชาชนและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นในระยะยาว รัฐบาลในยุคนั้น (ชวน หลีกภัย 2) ได้ตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม (Social Investment Fund)ขึ้น โดยใช้เงินกู้จาก IMF ภายใต้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดของธนาคารโลก ทั้งนี้มอบให้ธนาคารออมสินซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่ใช่ราชการ แต่เป็นกึ่งรัฐกึ่งธุรกิจ(รัฐวิสาหกิจ) ให้เป็นหน่วยดูแลรับผิดชอบ
สำนักงานกองทุนฯซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติงานเฉพาะกิจ ได้สนับสนุนเงินให้เปล่าแก่โครงการที่ตอบสนองความต้องการชุมชนและเพื่อชุมชน โดยองค์กรท้องถิ่นและชุมชนเป็นผู้ริเริ่มเสนอโครงการโดยตรง มีกระบวนการพัฒนาศักยภาพผู้นำและคุณภาพโครงการไปด้วยกันแบบครบวงจร
ผลการดำเนินงานในระหว่างพฤศจิกายน 2541 – มกราคม 2546 รวม 49 เดือน กองทุน SIF ได้ให้การสนับสนุนโครงการแก่องค์กรชุมชนต่างๆ รวม 7,874 โครงการ ในวงเงิน 4,401 ล้านบาท มีจำนวนผู้รับประโยชน์จากโครงการรวมทั้งสิ้น 13.0 ล้านคน
สำหรับผลกระทบระยะยาวในเวลาต่อมา จากการดำเนินโครงการกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคมในครั้งนั้นพบว่าโครงการของชุมชนเหล่านี้ได้ก่อเกิดเป็นขบวนการชุมชนเข้มแข็งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ กล่าวคือเป็นจุดเริ่มและต้นกำเนิดขององค์กรชุมชนและองค์กรสาธารณประโยชน์ต่างๆ มากกว่า 24 ประเภท มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 300,000 องค์กร
ดังนั้น ในบทความนี้ จึงมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลให้นำบทเรียนรู้จากโครงการกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม (SIF – Social Investment Fund) ที่เคยดำเนินการอย่างได้ผลดีในยุควิฤติ “ต้มยำกุ้ง” มาปรับใช้ในการฟื้นฟูสังคมในยุคโควิด
การฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจฐานรากจากวิกฤติ COVID-19
รัฐบาลควรออกนโยบายจัดตั้ง “โครงการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจฐานรากจากวิกฤติ COVID-19” โดยมุ่งขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมจากพลังทางสังคมและชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ จัดระบบดูแลผู้รับผลกระทบทางสังคมจากวิกฤติครั้งนี้
ลักษณะของโครงการหรือสถานภาพ ควรเป็นโครงการพิเศษเฉพาะกิจของรัฐบาล มีระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (หรือไม่เกิน ๔๐ เดือน) กรอบงบประมาณไม่เกิน ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท (ร้อยละ ๑๐ ของแผนงานฟื้นฟูฯ ตาม พรก.กู้เงินโควิดรอบสอง) โดยเมื่อเสร็จภารกิจหรือหมดเวลาตามกำหนดแล้ว ให้ยุบตัวลงเพื่อไม่เป็นภาระทางงบประมาณในระยะยาว
ควรมอบหมายให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงการคลังเป็นหน่วยกำกับดูแลโครงการนี้ โดยมีสำนักงานบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ความยากจน (หน่วยงานระดับกอง ภายในสำนักงานสภาพัฒนาฯ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาแล้วโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.๒๕๖๓ ) เป็นกลไกดำเนินการ
ภาคีความร่วมมือ
ควรจัดให้มีองค์กรภาคี“ร่วมปฏิบัติการ”ที่หลากหลายเข้ามาทำงานด้วยกันแบบสานพลัง ทั้งภาครัฐ องค์การมหาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม อาทิ
- สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ศูนย์คุณธรรม(องค์การมหาชน)
- กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม
- มูลนิธิพัฒนาไท มูลนิธิพัฒนาประชาสังคม สมาคมองค์กรสาธารณประโยชน์ มูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา บริษัทประชารัฐรักสามัคคี(วิสาหกิจเพื่อสังคม)
- เครือข่ายสภาประชาสังคมไทย เครือข่ายประชาสังคมจังหวัด เครือข่ายสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายชุมชนคุณธรรม เครือข่ายสภาวัฒนธรรม เครือข่ายธนาคารคลังสมอง
หลักการทำงาน
การทำงานของโครงการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจฐานรากฯ มีหลักการ ๗ ประการ ได้แก่
๑. หลักบูรณาการการลงทุนทางสังคมและการเสริมสร้างระบบตาข่ายนิรภัยสังคม
๒. หลักการสร้างผู้ประกอบการและวิสาหกิจระดับชุมชนท้องถิ่น พัฒนาคน และองค์กรชุมชนตามศักยภาพ
๓. หลักการแบ่งปันทรัพยากร เอื้อเฟื้อเกื้อกูล เสริมสร้างเครือข่ายสวัสดิการชุมชนครอบคลุมทุกพื้นที่
๔. หลักการพึ่งตนเอง สร้างความเข้มแข็งมั่นคงของชุมชน โดยองค์กรชุมชนเป็นแกนหลักในการพัฒนา
๕. หลักการความร่วมมือหลายฝ่าย (พหุภาคี) แลกเปลี่ยนเรียนรู้และปรับตัวเท่าทันสถานการณ์
๖. หลักการบูรณาการฐานทุนชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น และเทคโนโลยีที่เหมาะสม
๗. หลักการความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และนโยบายของรัฐบาล
ประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ
คาดว่าจะมีโครงการขององค์กรชุมชน ท้องถิ่นและภาคประชาสังคมที่ได้รับการสนับสนุนประมาณ 30,000 โครงการ มีประชาชนและชุมชนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากวิฤติโควิด-19 ได้รับประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน
นอกจากนั้น จะเกิดระบบตาข่ายนิรภัยทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของชาวบ้านขึ้นมาดูแลตนเองและดูแลกันเอง โดยต่อยอดมาจากเครือข่ายองค์กรชุมชนเข้มแข็ง องค์กรสาธารณะประโยชน์และองค์กรภาคประชาสังคมที่มีอยู่แล้วในทุกจังหวัดทั่วประเทศ อันเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาล
ในระยะยาว สังคมไทยจะมีฐานทุนทางสังคมและพลังทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคม(Resilience)และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อันเป็นเป้าหมายสำคัญในยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศในหลายด้าน.
................................
Key message
• บทเรียนกองทุนSIFยุควิกฤติต้มยำกุ้ง ระยะเวลา 49 เดือน สนับสนุนชุมชน 7,874 โครงการ 4,401 ล้านบาท มีผู้รับประโยชน์ 13.0 ล้านคน ก่อเกิดเป็นขบวนการองค์กรชุมชนเข้มแข็ง 24 ประเภท 300,000 องค์กรในปัจจุบัน
• รัฐบาลควรทำ“โครงการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจฐานรากจากวิกฤติ COVID-19” มุ่งขับเคลื่อนพลังชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ จัดระบบดูแลผู้รับผลกระทบทางสังคมจากวิกฤติโควิด-19
• ให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)และกระทรวงการคลังเป็นหน่วยกำกับดูแล โดยสำนักงานบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ความยากจนเป็นกลไกดำเนินการ
• เปิดให้องค์กรภาคีที่หลากหลายเข้ามาทำงานแบบสานพลัง ทั้งภาครัฐ องค์การมหาชน ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม.