"ปณิธาน" เคลียร์ชัด เหตุใด สหรัฐฯไม่เชิญไทย เข้าร่วมเวทีประชาธิปไตย
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการสายความมั่นคง เคลียร์ชัด ปม โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่เชิญ ไทย เข้าร่วมเวทีประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย ชี้สหรัฐหวังพลิกฟื้นประชาธิปไตยไตล์อเมริกาคืนมา
กลายเป็นประเด็นข้อสงสัยขึ้นมาทันที กรณีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐประกาศรายชื่อ 110 ประเทศ ที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย (Summit for Democracy) ทางออนไลน์ที่สหรัฐฯจัดขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 9-10 ธ.ค. เพื่อช่วยหยุดยั้งการเสื่อมถอยทางประชาธิปไตยและการพังทลายของสิทธิและเสรีภาพทั่วโลกแต่ทว่าไม่ปรากฎรายชื่อ ประเทศไทย จีน รัสเซีย เข้าร่วม ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบสื่อมวลชน
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผย"คมชัดลึกออนไลน์" ว่า เวทีการประชุมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสหรัฐในการกอบกู้ความเชื่อมั่นประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ซึ่งสหรัฐเป็นผู้ผลักดันมาหลายสิบปี แล้วนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและการทูตในหลายประเทศที่ตกต่ำลง
"มีพัฒนาการในเชิงลบว่าประชาธิปไตยกำลังจะตาย มีหนังสือสำคัญออกมา เช่น ที่อังกฤษของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ว่าประชาธิปไตยเสรีนิยมกำลังจะตาย รวมถึงสหรัฐที่มีการบุกไปรัฐสภา ในสหรัฐมีการเสียชีวิตของผู้ประท้วง มีการละเมิดคนผิวสี มีข้อสังเกตตรงนี้ ทำให้สหรัฐ มีความวิตกกังวลมากว่าประชาธิปไตยเสรีนิยมตะวันตกที่สหรัฐ และอังกฤษผลักดันมาหลายสิบปีเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทางการทูตเพื่อกดดันเพื่อให้มีพันธมิตรมากขึ้น" รศ.ดร.ปณิธาน ปูพื้นถึงความพยายามของสหรัฐในการจัดประชุมครั้งนี้
รศ.ดร.ปณิธาน กล่าวต่อไปว่า อีกด้านหนึ่ง จีนถูกมองว่าเป็นประเทศที่เจริญเติบโตก้าวหน้าที่สุดและไม่เป็นประชาธิปไตย ทำให้เห็นหลายประเทศชื่นชมจีนและมีแนวโน้มปรับระบบการเมืองการปกครอง ให้มีลักษณะการควบคุมเสถียรภาพมากขึ้นและดูด้านสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
รศ.ดร.ปณิธาน เปิดเผยถึงความพยายามสหรัฐ เริ่มต้นตั้งแต่ ประธานาธิบดี โจไบเดน ประกาศหาเสียงได้รับเลือกตั้งจะทำ 2-3 อย่าง 1.เปิดเจรจารอบใหม่กลุ่มประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ อย่างเกาหลีเหนือ อิหร่าน 2. รณรงค์สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงซึ่งได้ดำเนินการแล้ว และ 3. การฟื้นฟูประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ที่กำลังทำอย่างที่เห็นอยู่
"ไบเดน ได้เคยประกาศนโยบายหาเสียงที่มหาวิทยาลัย Newyork University ว่าจะทำเรื่องพวกนี้ เริ่มดำเนินการเชิญประเทศพันธมิตรใกล้ชิดของเขา และที่คิดว่าผลักดันได้ให้ยอมรับ ระบอบประชาธิปไตยแบบสหรัฐ ซึ่งไม่ใช่ไทย เพราะไทยมีระบอบประชาธิปไตยที่แตกต่างจากของเขา" นักวิชาการสาขาความมั่นคงระหว่างประเทศ กล่าว
ร.ศ.ดร.ปณิธาน วิเคราะห์ต่อไปว่าว่า "ประเด็นที่สองระบบประชาธิปไตยที่สหรัฐผลักดันเป็นระบบประชาธิปไตยแบบที่สหรัฐคุ้นเคย มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ ไม่ได้คุ้ยเคยพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นระบบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ มีมลรัฐต่างๆที่แยกการปกครองออกมาเป็นอิสระ มีกฎหมายของตัวเอง มีศาลสูงสุดของตัวเอง ไม่ใช่ระบบของไทยที่เป็นรัฐเดี่ยว เขานิยมชมชอบเป็นรัฐอิสระหรือต้องการให้ปัตตานีมีอิสระขึ้น พวกนี้เป็นความคิดของสหรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข มีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลเข้มข้น ทุกสภาเลือกตั้งหมด หรือแม้แต่ฝ่ายผู้พิพากษาก็เลือกตั้งซะเยอะ แม้แต่ข้อเสนอของคนรุ่นใหม่ที่เข้าชื่อแสนคน แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่เอาระบบแบบสหรัฐในการถ่วงดุล คือไม่ให้มีสภาสูงเลย"
รศ.ดร. ปณิธาน กล่าวว่า เรื่องเหล่านี้สหรัฐรู้ดีว่า เจ็ดปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ มีแนวทางประชาธิปไตยเป็นของตัวเอง เปิดให้มีการพูดคุยเรื่องปฏิรูป มีสถาบันต่างๆในรูปแบบตนเองไม่ขัดกฎหมาย เปิดให้มีการชุมนุมเป็นไปตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดี สหรัฐมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย การไม่เชิญไม่ได้หมายความว่ามีความสัมพันธ์ไม่ดี สหรัฐยังส่งรองผอ.ซีไอเอมาพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ในเชิงลึกล่วงหน้าหลายเรื่องแสดงให้เห็นว่าเป็นนโยบายซับซ้อนแยกแยะความเหมาะสมต่างๆ อย่างเช่น ไม่เชิญ จีน รัฐเซีย สิงคโปร์ เพราะแนวทางประชาธิปไตยเป็นของตัวเอง และไม่ทำแบบที่สหรัฐทำ
"การเชิญไปหลายร้อยประเทศ รวมถึงประเทศเล็กประเทศน้อย ส่วนใหญ่เป็นระบบการเมืองการปกครอง อย่างน้อยรับแนวทางสหรัฐได้ แต่ในขณะที่หลายประเทศก็ไม่เอา และสหรัฐไม่ค่อยรับฟังระบอบอื่นเป็นอย่างไร
แม้ว่าประเทศไทยไม่ได้รับเชิญเข้าร่วม ไม่ใช่เป็นการส่งสัญญาณเชิงลบ แต่มีนัยยะทางการเมืองให้เห็นว่า เราเป็นอิสระจากสหรัฐพอสมควร จะเหมารวมไม่ได้เป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ต้องดูข้อปฏิบัติจริงๆว่าประชาชนของเรามีสิทธิในการพูด การคิด การเขียนขนาดไหน ปฏิรูปไม่ใช่ปฏวัติอย่างไร ถ้าพูดปฏิรูปในเชิงสันติได้หรือไม่ ซึ่งสหรัฐไม่ได้นำมุมมองส่วนนี้ไปคิดด้วย ว่าสอดคล้องนโยบายกับเขาหรือไม่ จะนำไปเป็นประโยชน์เพื่อปิดล้อมจีนได้ไหม นี่จึงเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศซะเยอะ
ความสำคัญของเวทีนี้ รศ.ดร. ปณิธาน วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า การประชุมครั้งนี้ สหรัฐจะกู้วิกฤติประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมตะวันตกได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเมื่อนำรูปแบบที่สหรัฐไปใช้ในหลายประเทศเกิดอาการมือใครยาวสาวได้สาวเอา คนเล็กคนน้อยตกขอบกันหมด แล้วก็แก้ไขปัญหาจัดการอะไรไม่ได้ เกิดความแปรปรวนเยอะ เขาเอาระบบนี้ไปใช้กับละตินอเมริกา ก็เริ่มคิดหนักจะใช้ระบอบนี้ไหม แต่ถ้ากอบกู้มาได้ก็จะผงาดเป็นผู้นำโลกเสรีได้อีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ตกต่ำมาก แม้แต่ประเทศตัวเองก็ยังแก้ไม่ได้
อีกประเด็นเป็นความพยายามของสหรัฐในการเบี่ยงเบนในประเทศ เนื่องจากเข้าสู่การเลือกตั้งกลางสมัย เพราะฉะนั้นการยกระดับตัวเองให้เห็น เป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้นั่นก็คือ ทรัมป์และพันธมิตร ที่กำลังตีตื้นขึ้นมาแล้ว
อีกอย่างการเลือกตั้งท้องถิ่น รีพับลีกันเริ่มได้คะแนนนิยมกลับมา คะแนนไบเดน ตกต่ำมาก เขาจะกู้วิกฤติศรัทธาประชาชนได้ไหม ทำให้เขาต้องเชิญประเทศให้เยอะ และสองไม่เชิญประเทศที่เห็นต่างกับเขา อย่างเช่นสิงคโปร์มีะบบบที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ไทย ที่รัฐบาลบริหารมา7 ปี เกิดเสถียรภาพสมดุลใหม่ จีน ประสบความสำเร็จมาก จึงไม่เชิญมาร่วม การนำหลายร้อยประเทศชี้นำได้ก็จะทำให้มีบทบาทในการเลือกตั้งของเขาด้วย
อย่างไรก็ดี การที่สหรัฐดำเนินการรูปแบบนี้ ทำให้เห็นว่าเขายังมีพันธมิตรเป็นร้อยประเทศพยายามโดดเดี่ยว จีน รัสเซีย ทำให้จีนรู้ทันจึงออกมาแถลงโต้ในช่วงวันแรก
"เราเหมือนอยู่ในหมู่บ้านเคยสงบสุข แต่มีนักเลงประจำซอย สองคนตีกัน ทำให้พวกเราในหมู่บ้านอกสั่นขวัญแขวนไปทั่ว ในยามที่เราเดินผ่านก่อนนั้นทักทายกันดี แต่ตอนนี้มาข่มขวัญจะอยู่พวกไหน ทำให้จิตใจเราก็ตุ้มๆต่อมๆไปด้วย" รศ.ดร.ปณิธาน เปรียบเปรยให้เห็นถึงสถานการณ์ของสองชาติมหาอำนาจที่กำลังกำหนดนโยบายกับชาติพันธมิตรอยู่ในขณะนี้
รศ.ดร. ปณิธาน กล่าวว่า ในส่วนของไทยเร่งทำความเข้าใจและให้รู้ว่ามีจุดยืนของตัวเอง
"ประชาธิปไตยไม่ใช่สาธารณรัฐ ไม่ใช่ประธานาธิบดีเป็นประมุข หรือเลือกตั้งทุกอย่างเกิดปัญหาเหยียดสีผิวแก้ไม่ได้ เราไม่นิยมแบบนั้น ถ้ายืนได้ตัวเอง เข้มแข็งขึ้น ไม่ยอมสหรัฐมากขึ้น ทั้งนี้ ต้องระวังไม่กระทบสัมพันธ์โดยรวมซึ่งยังดีอยู่ แต่กรณีนี้ถือเป็นเรื่องการเมือง"
อีกประเด็นที่ รศ.ดร.ปณิธาน ชี้ให้เห็นเบื้องหลังการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐปัจจุบัน เนื่องจาก คนควบคุมกระทรวงการต่างประเทศขณะนี้เป็นพรรคเดโมแครต ซึ่งเดิมมีทัศนคติเป็นลบกับไทยว่าไทยเข้าข้างจีน เป็นลูกน้องจีน พยายามกดดันตลอด นับตั้งแต่สมัย คริสตี้ เคนนี่ย์ อดีตทูตสหรัฐประจำประเทศไทย และ กลิน เดวีส์ (Glyn Davies ) อดีตทูตสหรัฐฯ ตอนนี้ก็กลับมาอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ เป็นการควบคุมนโยบายที่ทำเป็นแบบไม่เข้าใจ ไม่เหมือนสมัย โดนัลดิ์ ทรัมป์
ทำให้กระทรวงการต่างประเทศตอนนี้เป็นการชี้นำไบเดน มากกว่า สมัยทรัมป์ที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้รับบทบาทมาก ครั้งนั้นมีการตั้งทูตพิเศษมาคุยกับไทยทางการค้า แต่พอมาเป็นยุคไบเดน ต้องลาออกไปและไม่ได้ตั้งใครเลย
นี่จึงเป็นอีกประเด็นที่กำลังสะท้อนออกไปเห็นการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐจากการกลับมาของเดโมแครตตอนนี้