พรรคกล้า "เราเป็นพรรคใหม่มีทรัพยากรจำกัด" กรณ์ จาติกวณิช
อดีตรมว.คลัง "กรณ์ จาติกวณิช" หลังลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพื่อมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในนาม "พรรคกล้า" ถึงวันนี้ มีความกล้าลงสู้ศึกเลือกตั้งที่กำลังมาถึง สัมผัสเบื้องลึกนิยาม"ความกล้า" ได้จากเจาะประเด็นร้อน โดย อสนีบาต
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณ์ จาติกวณิช หลังลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ วันนี้ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้า อีกหนึ่งพรรคการเมืองที่เพิ่งเกิดใหม่ เปิดเผยถึงความพร้อมที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งในส่วนของ ส.ส. และ กทม.
นายกรณ์ เริ่มบทสนทนาด้วยการให้คำนิยามความเป็น "พรรคกล้า" ว่าคือที่รวมกันของคนรุ่นใหม่ที่คิดบวก คนที่แม้ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแต่เคยสร้างเนื้อสร้างตัว มีจิตสาธารณะเพื่อเข้ามาช่วยกันสร้างโอกาสให้คนไทยและประเทศชาติ
โดยความตั้งใจและเป้าหมายของพรรค จะเน้นสร้างโอกาสทำมาหากินแก้ปัญหาปากท้อง พัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับประเทศให้มีมาตรฐานสากลในทุกๆด้าน
ด้านความพร้อมในการส่งผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. สนามใหญ่ทั่วประเทศ นายกรณ์ ยอมรับว่า พรรคคงไม่สามารถส่งครบทั้ง 400 เขต
"เพราะเป็นพรรคใหม่ที่มีทรัพยากรจำกัด ต้องบริหารทรัพยากรของเราตามความเหมาะสม เราจะส่งในกรณีที่ผู้สมัครตรงสเป็คของเรา ชัดเจนในอุดมการณ์ของเรา เข้าใจแนวทางการทำงานของพรรค และลงในเขตที่เรามองว่ามีโอกาสชนะ ความคาดหวังอาจจะน้อยกว่าพรรคใหญ่ แต่ผมเชื่อว่าจำนวน ส.ส.ที่เราทำได้แน่นอนคือระหว่าง 30 คน เป็นจำนวนที่ทำให้เราทำในเรื่องที่เราคิดอยากทำในสภาหรือรัฐบาลได้"
ในขณะที่ "สนามเล็ก" การเมืองระดับท้องถิ่น" พื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) นายกรณ์ ก็ตั้งใจว่าจะส่งผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ด้วยเช่นกันโดยเตรียมไว้ 20 กว่าเขต
"อาจจะไม่ส่งครบทุกเขตแต่ความตั้งใจของเราคือส่งผู้สมัครลงในระดับท้องถิ่น กทม. ด้วยเหตุผลที่เป็นเมืองหลวง ส่วนผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ก็ตั้งใจจะส่ง เตรียมไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจในขั้นสุดท้ายว่าเป็นคนไหน ผมมองว่าเรายังมีเวลาไม่ต้องเร่งด่วนเปิดตัว"
ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้า นายกรณ์ ให้ความเห็นถึงรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขใหม่ว่า เสียดายโอกาสของประชาชนที่หลายๆคนเสียงจะต้องตกน้ำไปในระบบใหม่
"ในส่วนของพรรคการเมือง เราแค่ต้องปรับยุทธศาสตร์ของเรา ไม่ว่าอย่างไรการแข่งขันก็ต้องเกิดไม่ว่าพรรคเก่าหรือใหม่ ถ้าเราคิดว่ามีของดี คนดี นโยบายดี เราก็เชื่อว่าประชาชนพร้อมสนับสนุนเรา ไม่ว่าเราจะเป็นพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่"
"จุดเด่นพรรคกล้าคือ คนของเรา ความตั้งใจของเราถึงแม้ว่าหลายๆคนไม่เคยลงสมัครเลือกตั้งมาก่อน ผมคิดว่าตรงนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคของเขาในการเสียสละมาทำงานเพื่อบ้านเมือง ประสบการณ์ที่หลากหลายของคนพรรคกล้า นี่คือจุดขายที่สำคัญ" นายกรณ์ กล่าวถึงข้อเด่นของพรรคกล้า
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน อดีต รมว.คลัง ให้ความเห็นว่า รัฐบาลเหมือนอยู่ไปวันๆ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้น
"ประชาชนไม่รู้รัฐบาลมีแผนจะทำอะไรให้กับเขา การที่รัฐบาลจะอยู่ในอำนาจเป็นธรรมชาติของผู้ที่มีอำนาจ แต่คำถามคือมีอำนาจแล้วจะใช้ทำอะไรให้กับประชาชนและบ้านเมือง วันนี้ความรู้สึกทั่วไปคงเห็นเหมือนกันว่าอยู่ไปวันๆ ถ้าเช่นนั้นการเรียกร้องของประชาชนให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วอาจจะมีมากขึ้น"
ทั้งนี้ การออกมาชุมนุมเรียกร้องของเยาวชนคนรุ่นใหม่ นายกรณ์ แนะนำนักการเมืองว่าควรรับฟังและทำความเข้าใจ ขณะเดียวกันทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นด้วย
"ต้องฟัง ทำความเข้าใจ เรียนรู้เพราะว่าเขาเองก็มีความคิดที่นักการเมืองรุ่นเก่าอาจไม่คุ้นเคย นี่เป็นเรื่องที่ปกติ ช่วง 10-20 ปี ก่อนหน้านี้เราบ่นด้วยซ้ำไปว่าทำไมนักศึกษาไม่สนใจการเมืองเหมือนยุคก่อนๆ วันนี้เขาสนใจแล้ว อาจทำให้ชีวิตนักการเมืองยากขึ้น ท้าทายมากยิ่งขึ้นแต่มันก็เป็นโอกาสของเราที่จะรับฟัง เรียนรู้ ที่สำคัญคือความฝัน ความหวังของเขาว่าเขาต้องการอะไร
"การเคลื่อนไหวเป็นสิทธิตามประชาธิปไตย เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลก็เป็นสิทธิในหลักประชาธิปไตย ผมคิดว่าคงไม่มีใครเกี่ยง แต่ประเด็นคือการเคารพสิทธิของผู้อื่น เคารพกฎหมาย เป็นหลักสำคัญในการใช้สิทธิเช่นกันตรงนี้ต้องหาความพอดีให้ได้ เข้าใจว่าบางทีอารมณ์พาไป"
อดีต รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ข้าราชการดีๆเก่งๆมีเยอะแต่ถูกระบบครอบงำจนไม่สามารถทำงานรับใช้ประชาชนและบ้านเมืองได้ตามความตั้งใจ
"การปฏิรูประบบราชการสำคัญที่สุด และยุคนี้เป็นยุคที่มีโอกาสจะทำได้เพราะเรามีเทคโนโลยี วิธีการปฏิรูประบบราชการในความคิดของพรรคกล้าก็คือการใช้เทคโนโลยีมาสร้าง Government Technology พูดง่ายๆ คือ รัฐบาลคลิกเดียว เพิ่มความโปร่งใส เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ทำให้ข้าราชการสามารถทำตามความตั้งใจที่จะช่วยเหลือประชาชนได้ เราเรียนรู้จากประเทศอื่นได้ หลายประเทศไปไกลแล้ว ข้อดีของเทคโนโลยีคือใช้ที่ไหนได้ก็ใช้ที่อื่นได้ ประเทศไทยเองไม่ได้ขาดการพัฒนาไปเสียทีเดียว จะเห็นว่ากรมสรรพากร กรมศุลกากร ก็เริ่มที่จะมีเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้เสียภาษีมากขึ้น หรือล่าสุดรัฐบาลออกแบบแอพเป๋าตังขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเยียวยาอย่างแม่นยำให้กับประชาชนที่เดือดร้อนในช่วงโควิด นั่นก็คือ Govtech แต่มันหยุดแค่นี้ไม่ได้ ต้องเอาระบบราชการเข้ามาอยู่ในระบบเดียวกันเพื่อที่เราจะได้มีศูนย์รวมข้อมูล ประชาชนไม่ต้องวิ่งหลายหน่วยงาน ต้องมี Digital Foot Print หรือหลักฐานทางดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น" หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว
สุดท้าย นายกรณ์ ให้นิยาม 3 คำ อธิบายความเป็น" พรรคกล้า" ได้แก่ซื่อสัตย์ ปฏิบัติ เสียสละ
"ใครจะมาทำงานการเมือง ปฏิเสธความซื่อสัตย์ต่อคำพูดตัวเอง ปฏิเสธความซื่อสัตย์ต่อบ้านเมืองไม่ได้ ซื่อสัตย์ยังไม่ล้าสมัย สิ่งที่การเมืองขาดคือคนที่ทำจริง คนคิดดีเยอะ พูดเก่งยิ่งเยอะใหญ่ แต่คนลงมือทำจริงๆน้อย ฉะนั้นปฏิบัติจึงสำคัญ และเสียสละ ผมคิดว่าใครที่จะมาทำงานรับใช้ประชาชนต้องมีความพร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวม 3 เรื่องนี้ถ้ามีคุณสมบัติในตัวนักการเมืองโอกาสที่จะเดินผิดน้อย" นายกรณ์ กล่าวปิดท้าย