"คาถาแก้จน" คาถา พระพุทธเจ้า รู้จัก 4 ข้อ การสร้างตัวให้เป็นเศรษฐี หนูตาย 1 ตัว
ในอดีตกาล การสร้างตัวให้เป็นเศรษฐี ตามตำรา คาถาแก้จน พระพุทธเจ้า ทรงมอบคาถา "ทิฏฐะกัมมิกัตถะประโยชน์" ตามภาษา คาถาแก้จน" ด้วยคนจนมีมาก ด้วย คาถาหัวใจเศรษฐี
ภาวะเศรษฐกิจ ปัจจุบันฝืดเคืองแสนสาหัส หลายคนรำพึงรำพัน หากินลำบาก แม่แต่โอกาสก็หายาก
อีกหลายคนพยายามทุกอย่างแบบสุจริต ก็หากินไม่พอใช้
ช่องทางที่เปิดกว้างก็เข้าไป ลอง ทั้งค้าขาย หรือเล่นหุ้น เล่นหวย เลขเด็ด
แต่ไม่ค่อยสมมโนรถปรารถนา หรือ ขึ้นอยู่กับโชควาสนา หรือคนมีหัวทางการค้ามากๆ ก็ไม่ทราบ
ในอดีต ครั้งพุทธกาล คนจนก็มีมากไม่ต่างจากสมัยนี้
พระพุทธเจ้าของเรา ทรงเห็นความทุกข์ยากของชาวบ้านทั่วๆ ไป จึงทรงแนะ "การสร้างตัวให้เป็นเศรษฐี" "คาถาหัวใจเศรษฐี" หรือให้พอมีพอกิน โดยมอบคาถา บทหนึ่ง ใน พระไตรปิฎก เรียกเป็นบาลีว่า ทิฏฐะกัมมิกัตถะประโยชน์ ให้นำไปปฏิบัติ (แก้จน)
มีข้อความดังนี้
1. อุฏฐานสัมปทา ขยันหมั่นเพียรในการทำงาน
2. อารักขสัมปทา รู้จักเก็บออมโภคทรัพย์ที่หามาได้
3. กัลยาณมิตตา รู้จักคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร
4. สมชีวีวิตา รู้จักเลี้ยงชีวิตแต่พอดี (รู้จักกำหนดรายรับ และรายจ่าย)
ทั้ง 4 ข้อ ท่านย่อเพื่อให้จำง่าย เรียกว่า คาถา "หัวใจเศรษฐี" คือ
อุ. อา. กา. สะ.
ใครที่ปฏิบัติตามได้ ก็สามารถรักษาตัวตน มีที่ยืนในสังคมได้แบบไม่อายฟ้าดิน หรือแก้จนได้ก็แล้วกัน
"ตั้งตัวได้เพราะหนูตาย1ตัว"
เมื่อยกหัวใจเศรษฐีมาบอกเล่าแล้ว ก็ขอเล่าเรื่องคนสมองใส หรือมีปัญญาเฉียบคม ในอดีตมาเล่าให้ฟัง คนๆนี้ มีเศรษฐีคนหนึ่งบอกว่าเขาจะเป็นเศรษฐีต่อไป
ในที่สุดเขาได้เป็นจริงๆโดยลงทุนนิดหน่อย ต่อยอดไปเรื่อยๆ ที่เรียกในสมัยนี้ว่าใช้เงินต่อเงินจนกลายเป็น "มหาเศรษฐี" สิ่งที่เขาลงทุนนั้นนิดหน่อยจริงๆ คือ หนูตายเพียงตัวเดียว
เรื่องเกิดนานก่อนพุทธกาล แต่ยังยกมาอ้างกันบ่อยๆ เพราะ ชื่นชมปัญญาที่เฉียบแหลมของนักลงทุนคนนี้
เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าหนุ่ม ได้หนูตายมา 1 ตัว เอาไปขายให้คนเลี้ยงแมวได้เงินมา 1 กากะณิก เทียบเงินบาทไทยคงมีค่านิดหน่อย แต่ตอนนั้นเงินไม่เฟ้อ เหมือนสมัยนี้ จึงนำเงินน้อยนิดไปซื้องบน้ำอ้อย พร้อมกับหิ้วถังน้ำดื่ม ไปคอยบริการคนหาดอกไม้ป่า เมื่อคนหาดอกไม้ออกจากป่าได้กินน้ำ และงบน้ำอ้อย (ชื่นใจ) จึงให้ดอกไม้เป็นค่าตอบแทน เขาจึงเอาดอกไม้ไปขายต่อได้มา 8 กหาปณะ
นำเงิน 8 กหาปณะนั้นไปซื้อน้ำอ้อย หาน้ำดื่มไปด้วยเพื่อจ้างเด็กที่เล่นในสนามกีฬา ให้ขนกิ่งไม้ใบไม้จากสนามหลวงไปขายช่างปั้นหม้อ ทำให้เขาได้เงินมา 16 กหาปณะ ถึงตอนนี้เขามีเงิน 25 กหาปณะแล้ว จึงลงทุนตั้งตุ่มน้ำเพื่อบริการคนเกี่ยวหญ้า 500 คน ได้หญ้าเป็นค่าตอบแทนมา 500 กำ (ลงทุนน้อยแต่ได้ค่าตอบแทนสูง)
จึงเอาหญ้าไปขายให้เจ้าของม้า ได้มาอีก 1,000 กหาปณะ
โอกาสเป็นเศรษฐีอยู่แค่เอื้อม จึงใช้เงินนั้นเช่ารถ(อาจเป็นรถม้า) ตกแต่งโอฬาร แห่ไปท่าเรือ ที่เรือสินค้ามาเทียบท่าพอดี แล้วมอบแหวนตราแด่เจ้าของเรือเป็นค่ามัดจำสินค้า
ตนเองขึ้นไปนั่งชั้น 3 ที่มีม่านกั้นไว้ สั่งคนรับใช้ว่าถ้าพ่อค้ามาหาต้องผ่านคนเฝ้าประตู ถึง 3 ชั้นก่อน จึงจะให้พบได้
พ่อค้าพาราณสี 100 คน ทราบว่าเรือสินค้ามา จึงไปที่ท่าเรือ เพื่อซื้อสินค้า แต่เจ้าของเรือว่ามีพ่อค้าใหญ่มัดจำไปแล้ว หากจะซื้อต้องซื้อโดยตรงกับพ่อค้าใหญ่ท่านนั้น
พ่อค้าพาราณสีต้องจ่ายคนละ 2,000 กหาปณะจึงได้สิ่งที่ต้องการ
เฉพาะค่าผ่านประตู คนขายหนู(ตอนแรก) ได้เงินถึง 200,000 กหาปณะ
ลืมเล่าไปว่าก่อนที่เขาจะขายหนูตายนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งว่า เธอจะเป็นเศรษฐี เขา หรือ จูฬกะเศรษฐีคนนี้ รู้สำนึกในบุญคุณ จึงนำเงิน100,000 กหาปณะ ไปมอบให้เพื่อตอบแทนบุญคุณ
ส่วนเศรษฐีที่มีลูกสาวสวย เมื่อทราบเรื่องเงินต่อเงิน และมันสมองอันปราดเปรื่อง จึงชื่นชมมาก ในที่สุดได้ยกลูกสาวให้เป็นภรรยาเศรษฐีใหม่
เมื่อเศรษฐีเฒ่าถึงแก่กรรม ทรัพย์สินจึงเป็นของ จูฬกเศรษฐี (เศรษฐีใหม่) และภรรยาในที่สุด
ก่อนจบ จึงมีคาถาชมว่า..
คนมีปัญญาเฉียบแหลม ย่อมตั้งตัวได้ด้วยทรัพย์ต้นทุนแม้เพียงเล็กน้อย ดุจก่อไฟเล็กน้อย ให้เป็นกองไฟใหญ่ ฉะนั้น
เรื่อง : เปรียญ12