"ท่านเจ้าคุณอนิล" ถอดรหัส "สังเวชนียสถาน"
พระธรรมศากยวงศ์วิสุทธิ์ *(อนิล ธมฺมสากิโย) ถอดรหัส สังเวชนียสถาน เพื่อให้ชาวพุทธนำไปพิจารณา จะได้ปฏิบัติให้ตรง ตามวัตถุประสงค์ที่พระพุทธองค์ ตรัสแก่พระอานนท์ พร้อมทั้งอ้างจารึก เสาอโศก หลักที่ 8 มาสนับสนุนว่าไปสังเวชนียสถานแบบไหนจึงจะได้บุญ โดย... เปรียญ12
พระธรรมศากยวงศ์วิสุทธิ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยพุทธโลก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย แสดงทัศนะ เกี่ยวกับการไปสังเวชนียสถาน คือ ที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ของพระสัมมาสัมพุธเจ้า ในที่ประชุม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่รัฐบาลอินเดียกับองค์กรอื่น ๆ จัด ที่ห้างแห่งหนึ่งใน กทม.เมื่อ 28 สิงหาคม 2565 ว่า แต่ละสถานที่ที่เป็นสังเวชนียสถาน ล้วนแต่เป็นที่โบราณ จะพบทรากเจดีย์ วิหาร และอิฐโบราณ ที่หักเป็นส่วนมาก (เว้นแต่มหาเจดีย์ และพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยาที่ได้รับการบูรณะต่อเนื่อง) แล้ว ได้อะไรจากการไป 4 สังเวชนียสถาน
พรพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ มีข้อมูลในมหาปรินิพพานสูตร ว่าผู้มาไหว้สังเวชฯ ตายแล้วไปสวรรค์ แปลว่าคนมีสตางค์ มีความสามารถมาไหว้สังเวชฯ ตายแล้วไปสวรรค์ คนไม่มีสตางค์เดินทางไม่ได้ อดขึ้นสวรรค์
ท่านเจ้าคุณว่าขัดแย้งกับหลักกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำไม่ดี ก็ได้ไม่ดี ทั้งนี้คำสอนพุทธองค์ คือ DIY.
ท่านเจ้าคุณวิจารณ์ผู้ไปสังเวชฯ ส่วนมากพกกิเลสไปเยอะ บริษัททัวร์จึงต้องจัดที่พักระดับ 5 ดาว จะกิน จะนอนต้องสบาย ทัวร์ต้องหาน้ำพริกไว้บริการ เพราะกินอาหารแขกไม่ได้(เว้นคนชอบ)
บางทีไปแสวงบุญ กลายเป็นแสวงบาป เช่นท่านเคยร่วมคณะทัวร์ ครั้งหนึ่ง ลูกทัวร์กินอาหารแบบแขก หรือมังสะวิรัติ ไม่ได้ ท่านต้องไปช่วยเจรจา ตกลงว่า ทาง รร. จะจัดอาหารที่มีเนื้อให้ จึงให้คณะทัวร์ล่วงหน้าไป ท่านจะตามไปทีหลังพร้อมอาหารตามที่ต้องการ
ท่านสารภาพว่าวันนั้นตัวท่านฉันอาหารไม่ได้ เพราะแขกจับไก่เป็น ๆ ได้ยินเสียงไก่ร้องจ็อก ๆ แล้วกลายเป็นไก่ย่างในที่สุด แสวงบุญกลายเป็นแสวงบาป
ท่านเล่าว่า การไปสังเวชฯ นั้น เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านเสด็จสารนาถ ที่พาราณสี ทรงกราบพระพุทธรูปด้วยปีติว่า พระองค์ท่าน เป็นพระองค์แรกที่เสด็จสังเวชฯ พอเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรเห็นผ้ากราบ หรือผ้ารับปนะเคนวางที่หน้าพระพุทธ เขียนชื่อว่าพระสมุทรมุนี เจ้าอาวาสวัดบุบผาราม มาสังเวชฯ ก่อนพระองค์ ท่านจึงมิใช่พระองค์แรก (ในส่วนของคนไทย)
คำว่าสังเวชฯ แปลว่าการรู้ตัวตน นำไปสู่ความมเข้าใจ
ไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็เข้าใจธรรมชาตินั้น พร้อมยกตัวอย่างกระดาษ เมื่อแยกแยะออก ก็จะพบธรรมชาติที่มาของกระดาษ
สอดรับกับคำแนะนำของพุทธองค์ที่ส่งสาวก 60 รูปไปเผยแผ่พระธรรมคำสอน หนแรก ทรงใช้คำว่าให้ จาริกไปสงเคราะห์ ชาวโลก
จาริก คือให้เดินไปจะได้อนุเคราะห์ชาวโลกให้ทั่วถึง ห้ามใช้พาหนะใด ๆ
ปัจจุบัน ผู้แสวงบุญมาสบาย ถึงสังเวชฯแห่งใดก็สวดมนต์ มาหลายคณะ หลายประเทศก็สวดแข่งกัน รบกวนคนบำเพ็ญสมาธิ ภาวนา ยิ่งนัก
จะจาริกแสวงบุญ (ท่านว่าคำแสวงบุญ มิใช่คำพุทธเป็นคำศาสนาอื่น) ต้องแสวงหาหลักธรรม ดังจารึกของพระเจ้าอโศก หลักที่ 8 ว่าการจาริกคือการแสวงหาหลักธรรม
เมื่อถึงที่สังเวชฯก็ให้หาหลักธรรม บ่มเพาะให้เกิดปัญญา
หาตัวตนให้พบว่าเรามีกิเลสมากน้อยแค่ไหน
การไปสังเวชฯ เพื่อเตือนให้เราเข้าใจพุทธรรม แล้วจะเกิดปัญญา เกิดบุญเพื่อชำระล้างจิตใจให้สะอาด
สุดท้ายท่านอนุโมทนา กากัน มาลิค ดาราที่แสดงเป็นพุทธเจ้าทางจอ รัฐบาลอินเดีย และคณะที่จัดโครงการนี้
ส่วนพระโพธินันทมุนี หรือหลวงพ่อจิ๋ว ผู้สร้างวัดป่าพุทธคยา ก็บอกว่าไปอินเดียกันเถิด เพราะอินเดียคือเมืองหลากหลายศาสนา เมืองพิพิธถัณฑ์ มีสิ่งมหัศจรรย์ และที่สุดในโลกมากมาย มีแม่น้ำคงคาที่ศักดิ์สิทธิ์
หลวงพ่อจิ๋ว อยู่อินเดียนาน เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตไทย-อินเดีย ของคณะธรรมยุต ว่าท่าพบชาวพุทธเรือนแสนคน เมื่อเดินทางไปทางใต้ของอินเดียพร้อมกับ กากัน มาลิค ขณะบวชพระที่เมืองไทย แล้วนำพระพุทธรูป ไปมอบให้ชาวพุทธ หรือต่างศาสนา เป็นจำนวนมาก พระพุทธรูปจำนวนมาก นั้นชาวพุทธไทยถวาย กากัน มาลิค ตอนบวชพระ ผู้รับต่างปีติเมื่อได้พระพุทธรูปไปบูชา นี่เป็นความอัศจรรย์ ที่เกิดในอินเดีย เมื่อไม่นานมานี้
หลวงพ่อจิ๋ว สรุป