ถึงเวลา พล.อ. ประวิตร เคลียร์ปม ปรับครม.
นิพนธ์ ลาออก จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ถึงเวลา ปรับครม. ใหญ่ ในกำมือพี่ใหญ่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เช้าวันที่ 5 กันยายน นิพนธ์ บุญญามณี ได้แสดงสปิริตด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังสำนักงาน ปปช.ส่งสำนวนฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีไม่เบิกจ่ายให้บริษัทที่ชนะการประมูลรถอเนกประสงค์ของ อบจ.สงขลา หลังตรวจสอบพบว่ามีการสมยอมราคา (ฮั้วประมูล) โดยทางจังหวัดสงขลาสั่งให้ชะลอการจ่าย แต่ ปปช.กลับมองว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ (ม.157) ตามประมวลกฎหมายอาญา
“นิพนธ์” จึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเมื่อคดีเข้าสู่ขบวนการพิจารณาของศาล
นี่ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นการถอยไปตั้งหลักในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม เป็นการแสดงสปีริต เมื่อคดีเข้าสู่ขบวนการพิจารณาของศาลแล้ว
เมื่อนิพนธ์ลาออก ทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในโควต้าของพรรคประชาธิปัตย์ว่างลง 1 ตำแหน่ง ซึ่งก่อนหน้านี้มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลงแล้วสองตำแหน่ง คือการปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยเกษตร และปลด ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยแรงงาน และยังมีกรณีศาลสั่งให้ “กนกวรรณ วิลาวัลย์” หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยศึกษา ในโควต้าของพรรคภูมิใจไทย
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน อาจจะถึงเวลาปรับคณะรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่างลง เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพียงแต่ถ้าจะปรับครม.จะปรับเพียง 3-4 ตำแหน่ง หรือปรับใหญ่ เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ถ้าปรับเฉพาะแทนตำแหน่งที่ว่างลง พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องไปคนคนใหม่มาแทนนิพนธ์ พลังประชารัฐก็ต้องไปหาคนมาแทน ร.อ.ธรรมนัส และแทน ดร.นฤมล ถึงเวลาที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐจะต้องคิด-ตัดสินใจ ส่วนพรรคภูมิใจไทย จะใช้โอกาสนี้ปรับ กนกวรรณ วิลาวัณย์ ออกจากตำแหน่งไปเลยหรือไม่ ในเมื่อศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว
กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยึดหลักอาวุโส และธรรมเนียมทางการเมือง จึงน่าจะถึงเวลาของ “ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ์ รองประธานวิปรัฐบาล เพราะนอกจากอาวุโสแล้ว ยังมีคุณวุฒิ วัยวุฒิที่เหมาะสม แต่ก็ไม่ควรมองข้าม “เดชอิศม์ ขาวทอง” ที่เป็นรองหัวหน้าพรรคภาคใต้อยู่ เพียงแต่ด้อยอาวุโสทางการเมือง เพราะเพิ่งเป็น สส.สมัยแรก ลำดับบัญชีน่าจะยังไม่ถึง
กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว นอกจากหาคนแทนนิพนธ์แล้ว น่าจะสั่นไหวไปถึงกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ด้วย เพราะมี “คลื่นใต้น้ำ” กดดันให้มีการเปลี่ยนตัว เพราะมองว่า “จุติ ไกรฤกษ์” ไม่เวิร์ค ไม่มีแอ็คชั่นอะไรที่น่าประทับใจในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทั้งๆที่เป็นกระทรวงหลักในการดูแลชีวิตมนุษย์ แต่กลับเป็นกระทรวงที่สงบนิ่ง แถมในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ “จุติ”ก็โดนอ่วม ไม่นอนทำการบ้านอยู่ 1 คืน จึงมาตอบญัตติไม่ไว้วางใจในอีกวันต่อมา
คงจำกันได้ว่า 1 วันก่อนลงมติไว้ใจ มีการวิ่งล็อบบี้จากระดับรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ท่านหนึ่ง เพื่อล้มจุติ เพียงแต่แผนนี้ไม่สำเร็จเท่านั้นเอง
“ในพรรคมีการพูดกันมากแล้ว บอกให้ปรับตัว ทำงานเชิงรุก ก็ยังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง” เสียงบ่นมาจากหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม
ส่วนพรรคภูมิใจไทย ถ้าคิดจะปรับเปลี่ยนไปเลยในเวลาเดียวกัน ก็ทีเสียงจาก “อุทิน ชาญวีระกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาเบาๆแล้ว เตรียมดัน “เสี่ย บ.” ขึ้นเสียบแทน
ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ จะปรับเพิ่มเข้ามาเพียงสองตำแหน่ง หรือจะเอาใครออก ก็น่าติดตาม สส.สายใต้ 14 คน ก็ออกแรงมาหลายรอบแล้วเพื่อให้มีรัฐมนตรีในภาคใต้ในโควต้าพลังประชารัฐ แต่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จ ทั้งๆที่ สส.สายใต้จงรักภักดีต่อ “นายป้อม นายตู่” ทุกคน แถมยังมี “ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ” ขึ้นมาเป็น สส.อีกคน ก็ถือว่าเป็น สส.สายใต้ ที่เคารพนับถือ “ลุงตู่” ที่รับใช้แบบถวายหัว
ฤา…จะถึงเวลา “ดร.แด็ก” นั่งเป็นรัฐมนตรี และหรือได้เวลา ดร.นฤมลรีเทอร์น แต่ที่น่าจะอ่อนไหวที่สุดคือ “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รัฐมนตรีกระทรวงดีอีเอส และน่าจะถึงเวลาของสส.สายปากน้ำแล้ว ที่มีบ้านใหญ่ “ชนม์สวัสดี อัศวเหม” กุมบังเหียนอยู่ ลุงป้อมก็เคยรับปากแล้วว่าปากน้ำต้องมีรัฐมนตรี
ช่วงเวลานี้อำนาจอยู่ในมือลุงป้อมแล้ว สิ่งที่เคยขอลุงตู่ไว้แล้วไม่ได้ ก็ได้เวลาใช้อำนาจที่มีอยู่จัดการได้…ใช่ไหม อ.แหม่ม