คอลัมนิสต์

บทเรียน 'ไฟป่า' แตกเกิดกองเพลิงมากมาย ฝนไม่ช่วย ชาวเมืองรับผลกระทบจากควัน

บทเรียน 'ไฟป่า' แตกเกิดกองเพลิงมากมาย ฝนไม่ช่วย ชาวเมืองรับผลกระทบจากควัน

10 เม.ย. 2566

จุดเริ่มต้นวัน 'ไฟป่า' แตก พื้นที่ อุทยานแห่งชาติ เกิดกองเพลิงจำนวนมาก พายุฤดูร้อนไม่ช่วยบรรเทา ผู้เชี่ยวชาญถอดบทเรียน ปี 66 เกิดพร้อมกันเจ้าหน้าคุมยาก ชาวเมืองจำต้องเผชิญหมอกควัน

หลายคนคงจำได้ว่าปี 2565 นั้นเป็นปีที่เรามี "ไฟป่า" น้อยมาก ราชการประกาศความสำเร็จในการลดจุดความร้อนลงจากปีก่อนหน้าถึง 50% ถือเป็นความสำเร็จด้านนโยบายอย่างงดงาม และในปี 2566  นั้นเราก็เริ่มฤดู "ไฟป่า" ด้วยความหวังว่าคนไทยจะมีความเข้าใจในความจำเป็นของการรักษาความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้และสิ่งแวดล้อมไว้เพื่อสุขภาพของคนไทยด้วยกันเอง พร้อมกับใช้ป่าเป็นกันชนต่อสภาพเอลนิโญที่เริ่มจะคืบคลานเข้ามา

 

 

ปกติแล้วความแห้งแล้งของป่านั้นจะเริ่มจากภาคเหนือตอนล่างแล้วค่อยๆลามไปตอนบน ทันทีที่ลมเริ่มเปลี่ยนทิศจากลมตะวันออกเฉียงเหนือมาเป็นลมใต้ที่ร้อนแห้งนั้นฤดูไฟป่าก็จะเริ่มขึ้น

ในช่วงแรกของปี 2566 นั้น  "ไฟป่า" ในภาคเหนือเริ่มจาก อุทยานแห่งชาติออบหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ในช่วงต้นเดือนก.พ.  และจบลงด้วยฝนจาก พายุฤดูร้อน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ในวันที่ 13 ก.พ. มาช่วยดับไฟไป  แต่กระนั้นฝนไม่ได้ตกทั่วฟ้า   เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นในพื้นที่ อุทยานแห่งชาตแม่ปิง อ.ลี้ จ.ลำพูน ก็เกิดไฟป่าตามมา  เป็นที่ทราบกันว่าไฟป่าในอุทยานฯ แห่งนี้ถือเป็นไฟแปลงใหญ่ในพื้นที่ซ้ำซากแทบจะที่สุดของประเทศ 

 

 

เป็นที่น่าสังเกตถึงพฤติกรรมไฟว่าเมื่อเกิด "ไฟป่า" ในพื้นที่แล้วนั้นเหมือนจะเป็นเหตุการณ์ที่เชื้อเชิญให้ชาวบ้านที่นิยมการเผาแต่เคยแอบอยู่ออกมาเผาตามน้ำไปด้วยกัน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการหามือใครดมได้ยาก ราชการจะไม่สามารถจับผู้เผาป่าได้โดยง่าย   เมื่อเกิดไฟใหญ่ก็จะพบว่ามีการเพิ่มของจุดความร้อนใหม่ๆ ขึ้นอีกมากมายในวันถัดมา ไฟป่าในอุทยานแห่งชาติแม่ปิงนั้นลุกไหม้จนถึง

 

อาทิตย์แรกของเดือนมี.ค. เป็นเวลาราว 3 อาทิตย์  รวมพื้นที่เผาไหม้ราว 100,000+ ไร่  สร้างฝุ่นหมอกควันไปถึง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อย่างชัดเจนในช่วงวันที่ 16-17 มี.ค.  เรามี พายุฤดูร้อน เข้ามารอบที่สอง  ช่วยดับไฟทั้งหมดในภาคเหนือไปพร้อมกับจับฝุ่นบางส่วนลงมาจากฟ้าทำให้สภาพอากาศในภาคเหนือกลับมาสดใสกันอีกครั้ง  ในช่วงนั้นเราต่างมีความหวังว่าไฟป่าในปีนี้จะไม่รุนแรง และจะเป็นอีกปีหนึ่งที่เราประสบความสำเร็จคล้ายกับปี 2565

 

เมื่อฝนรอบที่สองผ่านไป "ไฟป่า" ก็เกิดตามมาในอุทยานแห่งชาติสาละวิน หลังวันที่ 17 มี.ค. คล้ายคลึงกับ อุทยานแห่งชาติแม่ปิง "ไฟป่า" ในอุทยานแห่งชาติสาละวิน เป็นไฟป่าแปลงใหญ่ที่ซ้ำซากที่สุดของประเทศ  แต่เนื่องจากเป็นอุทยานที่ห่างไกลเราได้แต่เฝ้าจับตาดูข่าวจากกรมอุทยานฯและติดตามจุดความร้อนที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลานี้เริ่มมีกระแสลมตะวันตกพัดเข้าสู่ภาคเหนือทำให้เกิดมลพิษทางอากาศไปทั่วภาคเหนือ แต่ก็ยังไม่อยู่ในระดับที่สร้างผลกระทบรุนแรงมากมาย

 

วันไฟป่าแตกจริงของภาคเหนือตอนบนนั้นเกิดวันที่ 23 มี.ค. ชาวบ้านนิยมเผาเข้าเผาป่าพร้อมๆ กันใน จ.แม่ฮ่องสอน จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.ลำปาง จ.แพร่  จ.พะเยา และ จ.น่าน นับรวมกันได้ประมาณ 70 กอง โดย จ.เชียงรายมีการจุดเผามากสุดถึงประมาณ 20 กอง  และในวันรุ่งขึ้นก็มีการจุดเผาใหม่ตามมาอีกราว 150 กอง    ด้วยจำนวนไฟมากมายกว่า 200+ กองภายใน 2 วันเช่นนี้ไม่มีทางที่กรมอุทยานฯ จะสามารถควบคุมไฟทั้งหมดได้  เพราะการควบคุมไฟป่านั้นเป็นงานที่เหนื่อยยากลำบากและต้องการกำลังพล เครื่องมือ เครื่องจักร งบประมาณ มากมายพร้อมๆกัน

 

จุดความร้อนในวันที่ 23 และ 24 มี.ค. 2566

 

แน่นอนว่าการจุดไฟป่าในพื้นที่สูงชันด้านตะวันตกในบริเวณรอยต่อกับ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย นั้นส่งผลกระทบด้านมลพิษทางอากาศต่อชาวเมืองนับล้านๆ คนอย่างรุนแรงทันที

 

กราฟแสดงความเข้มข้นของความร้อน

 

ทันทีที่ กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศว่าจะมี พายุฤดูร้อน รอบที่ 3 ในวันที่ 8-9 เม.ย. นั้น  ยิ่งเร่งให้ชาวบ้านนิยมเผาออกไปจุดไฟใหม่กันเพิ่มขึ้นอีก  โดยชาวบ้านอาจจะไม่ทันฟังให้เข้าใจว่าฝนนั้นจะอยู่ในภาคอีสานและภาคเหนือตอนล่าง  ถึงวันนี้แม้ว่าจะผ่านมากว่า 2 อาทิตย์แล้ว  ก็ยังไม่มีวี่แววของพายุฝนฤดูร้อนรอบ 3 ในภาคเหนือตอนบน   และมองพยากรณ์ฝนไปข้างหน้าตลอด 10 วันก็ยังไม่มีหวังที่จะมีฝนมาช่วยดับไฟ ภาคเหนือตอนบนในปีนี้คงต้องฉลองสงกรานต์ท่ามกลางฝุ่นควันกับฟ้าหลัว   2วันนี้เริ่มเห็นจำนวนจุดความร้อนใหม่ในแต่ละวันลดลงแล้ว  คงเหลือแต่ไฟที่ยังลุกลามอยู่นับร้อยๆ กอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนบนของ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย และ บริเวณตะวันออกของ จ.น่าน

 

  • บทเรียนจากวัน "ไฟป่า" แตก 2566 นี้คือ 
  1. ไฟป่าจะเกิดขึ้นเป็นยกๆ หลังจากมี พายุฤดูร้อน ผ่านไป 
  2. เมื่อเกิดไฟป่าแล้ว  จะมีการเผาตามในวันรุ่งขึ้นอีกมาก  ลุกลามใหญ่โต
  3. การบุกเผาพร้อมๆกันแบบนี้   ไม่มีทางที่กรมอุทยานฯจะควบคุมไฟป่าได้
  4. การเผาป่าติดเมืองใหญ่ ย่อมทำให้ชาวเมืองนับล้านต้องรับมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  5. ฝนแทบจะเป็นตัวช่วยหลักเดียวที่เราพึ่งพิงในการกำจัดไฟป่า  ถ้าฝนมาช้าเราก็ต้องจำใจอยู่กับฝุ่น   แม้ว่ากรมอุทยานฯ จะทุ่มกำลังทั้งหมดในการควบคุมไฟแต่ก็ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น 

 

บทความโดย: ดร.เจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล