คอลัมนิสต์

ซ้ายรำพัน ‘ปิยบุตร’ ปลุกส้มสวนทาง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ทำสงครามความคิดยกใหม่

ซ้ายรำพัน ‘ปิยบุตร’ ปลุกส้มสวนทาง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ทำสงครามความคิดยกใหม่

08 ธ.ค. 2566

สู่สมรภูมิสงครามความคิด ปิยบุตร ปลุกพลังส้มสู้กลุ่มอนุรักษนิยม หวั่นไฟปฏิวัติมอดดับ สิ้นหวังเพื่อไทย อุ๊งอิ๊ง พาเสื้อแดงเลี้ยวขวา

ซ้ายรำพัน ปิยบุตร ไม่สิ้นไฟฝัน ปลุกพลังส้ม สู่สมรภูมิสงครามความคิดอีกครั้ง สิ้นหวังเพื่อไทย อุ๊งอิ๊ง พาเสื้อแดงเลี้ยวขวา


เพื่อไทยมีบทเรียนปฏิญญาฟินแลนด์ ขอเลือกวิถีการเมืองเดิม ปิยบุตร หวั่นไฟปฏิวัติมอดดับ เรียกร้องด้อมส้มฮึดสู้อีกยก


พลันที่อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร กล่าวปิดการสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึงการสร้างพรรคในยุคของคนรุ่นใหม่ว่า “..ดิฉันขออัญเชิญพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงตรัส ไว้เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมากับคณะเอกอัครราชทูตและกงศุลใหญ่ไทยจากทั่วโลกถึงคนรุ่นใหม่ว่า ‘ทุกคนในที่นี้และตัวพระองค์เองก็เคยเป็นคนรุ่นใหม่มาแล้วทั้งนั้น’ ประโยคนี้สั้นๆ แต่ลึกซึ้งมีความหมายมาก แปลว่าคนรุ่นเก่าของพรรคก็เป็นคนรุ่นใหม่มาก่อน แต่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร มีความคิดที่จะรักษาพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร”

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองก็สรุปได้ว่า เพื่อไทยในยุคของอุ๊งอิ๊งจะเป็นการผสมผสานของคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ไม่ทิ้งการเมืองแบบอุปถัมภ์


ไม่แปลกที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล จะลุกขึ้นมาโพสต์เฟซบุ๊กว่าด้วยการต่อสู้ของพลังฝ่ายก้าวหน้า กับฝ่ายอนุรักษนิยม เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2566


กล่าวโดยสรุป อาจารย์ป๊อก ปิยบุตรสรุปว่า ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน พลังฝ่ายก้าวหน้าทำสงครามทางความคิด (War of Position) รุกคืบเอาชนะฝ่ายอนุรักษนิยมหรือฝ่ายชนชั้นปกครองมากขึ้นตามลำดับ


ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการสนธิกำลังกัน 3 ฝ่าย ระหว่างชนชั้นนำดั้งเดิม+ชนชั้นนำทางการเมือง+ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ เพื่อรักษาอำนาจและสถานะให้คงอยู่ดังเดิมต่อไป


พูดอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ รัฐบาลเศรษฐา ฉะนั้น ปิยบุตรจึงเรียกร้องให้ “..พลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องเข้าสมรภูมิการทำสงครามทางความคิดนี้” อย่าหลงทางไปกับกระแสวิวาทะผ่านสื่อโซเชียลที่ไร้สาระ

ศาสดากรัมชี่
ถ้าจำกันได้ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้ประกาศวางมือทางการเมือง หลังรู้สึกเบื่อหน่ายกับกระแสทัวร์ลง เนื่องจากอาจารย์ป๊อก ได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของพรรคก้าวไกล


ดังที่ทราบ ปิยบุตร แสงกนกกุล ต่างจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในแง่ของที่มาทางความคิดการเมือง โดยอาจารย์ป๊อก เป็นคนสนใจทฤษฎีการเมืองปีกซ้ายมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในฝรั่งเศส


อันโตนิโอ กรัมชี นักเศรษฐศาสตร์การเมืองชาวอิตาเลียนแนวมาร์กซิสม์ และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี เป็นบุคคลที่ปิยบุตรพูดเต็มปากเต็มคำว่า ได้นำแนวคิดกรัมชี่มาสร้างพรรคอนาคตใหม่


คำว่า “สิ่งเก่าใกล้ตาย แต่ยังไม่ตาย สิ่งใหม่จะเกิด แต่ยังเกิดไม่ได้” เป็นบทวิเคราะห์ของกรัมชี่ที่ปิยบุตรอ้างถึงอยู่บ่อยๆ


สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งเก่ากำลังจะตาย แต่ยังไม่ตายนั้น มันยังไม่เป็นจริง เพราะมีดีลประนีประนอมของขั้วเพื่อไทยและฝ่ายอนุรักษ นิยม จึงทำให้ปิยบุตร จึงต้องเรียกร้องให้ด้อมส้มลุกขึ้นมาทำสงครามความคิดอีกรอบ

 

 

ปิยบุตร ยังเดินสายปลุกความคิดเยาวชนคนรุ่นใหม่

 

 

บทเรียนไทยรักไทย
สมัยพรรคไทยรักไทยเฟื่องฟู ปรากฏว่า คนเดือนตุลาที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดทักษิณ ชินวัตร ถูกเพ่งเล็งจากกลุ่มอนุรักษนิยม ด้วยมรดกสงครามเย็นที่ตกค้างอยู่


ต้นปี 2549 ในช่วงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดการชุมนุมใหญ่ โค่นระบอบทักษิณ ได้มีการพูดถึงยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ หรือ ปฏิญญาฟินแลนด์ เป็นทฤษฎีสมคบคิดของทักษิณและคนใกล้ชิด


เนื้อหาของปฏิญญาฟินแลนด์ มีการโยงขบวนการคอมมิวนิสต์ไทยในอดีต กับพรรคไทยรักไทย ทำให้มีคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวทักษิณและพลพรรคไทยรักไทย


แม้วันนี้ ปฏิญญาฟินแลนด์จะได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ผีทักษิณก็ยังหลอกหลอนผู้คนกลุ่มหนึ่งอยู่


ก่อนเดินทางกลับเมืองไทย เมื่อปีที่แล้ว ทักษิณพูดว่า “...การเมือง มันเป็น zero sum game ถ้าเราสุข เขาจะทุกข์ ถ้าเราทุกข์ เขาจะสุข ทำไมไปทุกข์เพื่อให้เขาสุขล่ะ เราต้องสุขเพื่อให้เขาทุกข์”


นี่คือต้นทางของแนวคิดปรองดองสมานฉันท์ ที่ทำให้ปิยบุตร รู้สึกหงุดหงิดกับเพื่อไทย จึงหันมาเรียกร้องคนก้าวไกลใส่ใจเรื่องการทำสงครามความคิดอย่างจริงจัง