ซ้ายรำพัน ‘ปิยบุตร’ ปลุกส้มสวนทาง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ทำสงครามความคิดยกใหม่
สู่สมรภูมิสงครามความคิด ปิยบุตร ปลุกพลังส้มสู้กลุ่มอนุรักษนิยม หวั่นไฟปฏิวัติมอดดับ สิ้นหวังเพื่อไทย อุ๊งอิ๊ง พาเสื้อแดงเลี้ยวขวา
ซ้ายรำพัน ปิยบุตร ไม่สิ้นไฟฝัน ปลุกพลังส้ม สู่สมรภูมิสงครามความคิดอีกครั้ง สิ้นหวังเพื่อไทย อุ๊งอิ๊ง พาเสื้อแดงเลี้ยวขวา
เพื่อไทยมีบทเรียนปฏิญญาฟินแลนด์ ขอเลือกวิถีการเมืองเดิม ปิยบุตร หวั่นไฟปฏิวัติมอดดับ เรียกร้องด้อมส้มฮึดสู้อีกยก
พลันที่อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร กล่าวปิดการสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึงการสร้างพรรคในยุคของคนรุ่นใหม่ว่า “..ดิฉันขออัญเชิญพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงตรัส ไว้เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมากับคณะเอกอัครราชทูตและกงศุลใหญ่ไทยจากทั่วโลกถึงคนรุ่นใหม่ว่า ‘ทุกคนในที่นี้และตัวพระองค์เองก็เคยเป็นคนรุ่นใหม่มาแล้วทั้งนั้น’ ประโยคนี้สั้นๆ แต่ลึกซึ้งมีความหมายมาก แปลว่าคนรุ่นเก่าของพรรคก็เป็นคนรุ่นใหม่มาก่อน แต่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร มีความคิดที่จะรักษาพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร”
นักสังเกตการณ์ทางการเมืองก็สรุปได้ว่า เพื่อไทยในยุคของอุ๊งอิ๊งจะเป็นการผสมผสานของคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ไม่ทิ้งการเมืองแบบอุปถัมภ์
ไม่แปลกที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล จะลุกขึ้นมาโพสต์เฟซบุ๊กว่าด้วยการต่อสู้ของพลังฝ่ายก้าวหน้า กับฝ่ายอนุรักษนิยม เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2566
กล่าวโดยสรุป อาจารย์ป๊อก ปิยบุตรสรุปว่า ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน พลังฝ่ายก้าวหน้าทำสงครามทางความคิด (War of Position) รุกคืบเอาชนะฝ่ายอนุรักษนิยมหรือฝ่ายชนชั้นปกครองมากขึ้นตามลำดับ
ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการสนธิกำลังกัน 3 ฝ่าย ระหว่างชนชั้นนำดั้งเดิม+ชนชั้นนำทางการเมือง+ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ เพื่อรักษาอำนาจและสถานะให้คงอยู่ดังเดิมต่อไป
พูดอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ รัฐบาลเศรษฐา ฉะนั้น ปิยบุตรจึงเรียกร้องให้ “..พลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องเข้าสมรภูมิการทำสงครามทางความคิดนี้” อย่าหลงทางไปกับกระแสวิวาทะผ่านสื่อโซเชียลที่ไร้สาระ
ศาสดากรัมชี่
ถ้าจำกันได้ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้ประกาศวางมือทางการเมือง หลังรู้สึกเบื่อหน่ายกับกระแสทัวร์ลง เนื่องจากอาจารย์ป๊อก ได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของพรรคก้าวไกล
ดังที่ทราบ ปิยบุตร แสงกนกกุล ต่างจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในแง่ของที่มาทางความคิดการเมือง โดยอาจารย์ป๊อก เป็นคนสนใจทฤษฎีการเมืองปีกซ้ายมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในฝรั่งเศส
อันโตนิโอ กรัมชี นักเศรษฐศาสตร์การเมืองชาวอิตาเลียนแนวมาร์กซิสม์ และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี เป็นบุคคลที่ปิยบุตรพูดเต็มปากเต็มคำว่า ได้นำแนวคิดกรัมชี่มาสร้างพรรคอนาคตใหม่
คำว่า “สิ่งเก่าใกล้ตาย แต่ยังไม่ตาย สิ่งใหม่จะเกิด แต่ยังเกิดไม่ได้” เป็นบทวิเคราะห์ของกรัมชี่ที่ปิยบุตรอ้างถึงอยู่บ่อยๆ
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งเก่ากำลังจะตาย แต่ยังไม่ตายนั้น มันยังไม่เป็นจริง เพราะมีดีลประนีประนอมของขั้วเพื่อไทยและฝ่ายอนุรักษ นิยม จึงทำให้ปิยบุตร จึงต้องเรียกร้องให้ด้อมส้มลุกขึ้นมาทำสงครามความคิดอีกรอบ
บทเรียนไทยรักไทย
สมัยพรรคไทยรักไทยเฟื่องฟู ปรากฏว่า คนเดือนตุลาที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดทักษิณ ชินวัตร ถูกเพ่งเล็งจากกลุ่มอนุรักษนิยม ด้วยมรดกสงครามเย็นที่ตกค้างอยู่
ต้นปี 2549 ในช่วงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดการชุมนุมใหญ่ โค่นระบอบทักษิณ ได้มีการพูดถึงยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ หรือ ปฏิญญาฟินแลนด์ เป็นทฤษฎีสมคบคิดของทักษิณและคนใกล้ชิด
เนื้อหาของปฏิญญาฟินแลนด์ มีการโยงขบวนการคอมมิวนิสต์ไทยในอดีต กับพรรคไทยรักไทย ทำให้มีคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวทักษิณและพลพรรคไทยรักไทย
แม้วันนี้ ปฏิญญาฟินแลนด์จะได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ผีทักษิณก็ยังหลอกหลอนผู้คนกลุ่มหนึ่งอยู่
ก่อนเดินทางกลับเมืองไทย เมื่อปีที่แล้ว ทักษิณพูดว่า “...การเมือง มันเป็น zero sum game ถ้าเราสุข เขาจะทุกข์ ถ้าเราทุกข์ เขาจะสุข ทำไมไปทุกข์เพื่อให้เขาสุขล่ะ เราต้องสุขเพื่อให้เขาทุกข์”
นี่คือต้นทางของแนวคิดปรองดองสมานฉันท์ ที่ทำให้ปิยบุตร รู้สึกหงุดหงิดกับเพื่อไทย จึงหันมาเรียกร้องคนก้าวไกลใส่ใจเรื่องการทำสงครามความคิดอย่างจริงจัง