ลุยเต็มตัว “ทักษิณ” รุกคำประกาศ “จันทร์ส่องหล้า” จับตาแป้งมันโมเดล
คำประกาศจันทร์ส่องหล้า ทักษิณ ปลุกฟื้นจิตวิญญาณไทยรักไทย ฝ่าพายุสีส้ม ปั้น สส.ฐานแน่นแทน สส.เสาไฟฟ้า จับตาสูตรลับแป้งมันโมเดล
รวมพลศิษย์เก่า ทักษิณ ประกาศปลุกฟื้นจิตวิญญาณไทยรักไทย ณ บ้านจันทร์ส่องหล้า ปั้น สส.ฐานแน่นแทน สส.เสาไฟฟ้า จับตาแป้งมันโมเดล
บริบทการเมืองเปลี่ยน ปี 2567 ไม่เหมือนปี 2548 คำประกาศของทักษิณ “พรรคเราแก้ไขไม่ได้ ไม่มีใครแก้ได้” จึงท้าทายศักยภาพแกนนำเพื่อไทย
บรรยากาศในบ้านจันทร์ส่องหล้า เนื่องในวันเกิด ทักษิณ ชินวัตร อายุครบ 75 ปี ไม่ต่างจากงานชุมนุมศิษย์เก่าพรรคไทยรักไทย เพราะมี สส. และอดีต สส.ยุคปี 2544-2548 เข้าร่วมอวยพรนายใหญ่เป็นจำนวนมาก
ทักษิณ ได้กล่าวขอบคุณเพื่อนนักการเมืองที่มาอวยพรวันเกิดว่า “หลายคนที่มาวันนี้ไม่เคยทอดทิ้งกัน วันนี้ที่อยู่ด้วยกันถือว่าเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”
ตอนหนึ่งทักษิณพูดถึงปัญหาของบ้านเมืองที่รอการแก้ไขในหลายเรื่องว่า “ถ้าพรรคเราแก้ไขไม่ได้ ไม่มีใครแก้ได้ เพราะพรรคเราเป็นพรรคที่มีประสบการณ์สูงมาก”
ประโยคข้างต้น ย่อมหมายถึงการปลุกจิตวิญญาณไทยรักไทย ให้ สส. และอดีต สส. ได้มีความฮึกเหิมที่จะช่วยกันกอบกู้วิกฤตศรัทธาของเพื่อไทย
ระดับปรมาจารย์การเมืองอย่างทักษิณ ย่อมรู้ดีว่า หลังเลือกตั้งปี 2566 เพื่อไทยมีจุดแข็ง-จุดอ่อน อย่างไร ในสมรภูมิเลือกตั้งผู้แทนฯ
จุดอ่อนที่สำคัญและมีแนวโน้มที่แก้ไขยากคือ คะแนนนิยมของเพื่อไทย ในสนามกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ปัจจุบันพื้นที่เมืองหลวง และหัวเมืองที่รายล้อม ตกเป็นพรรคก้าวไกล หรืออาจจะมีชื่อใหม่ในวันข้างหน้า แบรนด์สีส้มก็ยังแข็งแรงกว่าแบรนด์สีแดง
เช่นเดียวกับภาคตะวันออก แบรนด์สีส้มได้เข้าไปแทนที่แบรนด์สีฟ้า(ปชป.) และแบรนด์สีแดง ตั้งแต่ปี 2562 และในอนาคตก็ยังจะเป็นสีส้ม
สมรภูมิภาคกลาง บ้านใหญ่ยังมีอิทธิพล แต่พรรคเพื่อไทยก็สูญเสียซุ้มบ้านใหญ่หลายสิบจังหวัด ให้กับพรรคภูมิใจไทย ,พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ
จุดแข็งที่ยังไว้ใจได้ของเพื่อไทยคือ ภาคเหนือ และภาคอีสาน แต่ผลการเลือกตั้งหนที่แล้ว ส่งสัญญาณเตือนนายใหญ่ เมื่อก้าวไกลเจาะภาคเหนือตอนบน และภูมิใจไทยรุกชิงอีสานได้ สส.เป็นกอบเป็นกำ
รักษาแบรนด์ชินวัตร
การปรากฏตัวของ ไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ประมุขบ้านสวน และพินิจ จันทรสุรินทร์ เจ้าพ่อดอยเงิน ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า บ่งบอกว่า ทักษิณยังไม่ทิ้งคนเก่าแก่
พื้นที่ 8 จังหวัดตอนบน พรรคของทักษิณ ไม่ว่าไทยรักไทย พลังประชาชนและเพื่อไทย ได้รับชัยชนะแบบยกจังหวัด ในปี 2544, 2548, 2550 และ 2554
ปี 2566 เพื่อไทยภาคเหนือตอนบน พ่ายกระแสสีส้ม ได้แค่ 22 ที่นั่ง โดยมีจังหวัดที่น่าเป็นห่วงมีอยู่ 4 จังหวัดคือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และลำปาง ซึ่งเปรียบเสมือนไข่แดงของตระกูลชินวัตร
ทักษิณเคยพูดว่า แม้เพื่อไทยมีสินค้าดีคือ นโยบายดี แต่กลับไม่มีเซลล์แมนที่นำสินค้าไปขายต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเซลล์แมนในที่นี้ หมายถึงตัวผู้สมัคร สส. และหัวคะแนน
พึ่งแป้งมันโมเดล
มีข้อน่าสังเกต ทักษิณไปพักผ่อนเขาใหญ่ ก็มี “นายกหน่อย” ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา ,สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม พร้อม สส.โคราช สายแป้งมัน ไปร่วมร้องเพลง “สัญญาเมื่อสายัณห์”
เมื่อวันเกิดที่บ้านจันทร์ส่องหล้า “กำนันป้อ” วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล และรัฐมนตรีสุดาวรรณ ก็เข้าไปอวยพรทักษิณ
นั่นหมายถึงว่า รัฐมนตรีปุ๋ง และกลุ่ม สส.สายแป้งมันโคราช ได้ขึ้นแท่นลูกรักนายใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว
ผลงานกำนันป้อที่โดดเด่นคือ “แป้งมันโมเดล” คือ ปั้นผู้สมัคร สส.หน้าใหม่ ประสานการเมืองท้องถิ่น บวกกระแสพรรค เพื่อไทยจึงกวาด สส.นครราชสีมา ได้ 12 ที่นั่ง (ในนี้แยกเป็นสายกำนันป้อ 7 ที่นั่ง และสายประเสริฐ จันทรรวงทอง 5 คน)
นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้าคงรู้ดีว่า ยุคสมัยอาศัยกระแสอุ้ม สส.เข้าสภาฯ เหมือนในอดีต คงทำยากขึ้น จึงต้องหันไปพึ่ง “แป้งมันโมเดล”