สงครามแค้น ทักษิณ จ่อเอาคืน ประวิตร ยึดบ้านอัมพวัน จับตา สรวงศ์ เสนาบดีท่องเที่ยวกีฬา จัดทัพโอลิมปิคไทย
คนรอบข้างลุงหยุมสุมไฟแค้น เปิดศึกใต้ดินทุกรูปแบบ นายใหญ่ไม่ปล่อยให้ไล่ล่าข้างเดียว เตรียมรุกรื้อบ้านอัมพวัน
กลายเป็นคู่แค้นแห่งปี ทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หลังปฏิบัติถอนแค้นเศรษฐาถูกสอย ด้วยการทุบพลังประชารัฐ จนแตกเป็น 2 ขั้ว
วันนี้ บ้านป่ารอยต่อฯ จึงเหลือเพียงอดีตนายทหาร , อดีต สส. , ผู้สมัคร สส.สอบตกซ้ำซาก , นักร้องเสียงทอง และนักเคลื่อนไหว ที่ไปรวมตัวกันให้กำลังใจลุงป้อมทุกวัน
นักสังเกตการณ์ประเมินว่า บ้านป่ารอยต่อฯ กำลังจะเป็นกองบัญชาการโค่น “ระบอบทักษิณ” ภาค 2 โดยมีลุงป้อม เป็นหัวขบวนใหญ่
ขณะที่ฝั่งค่ายพะเยาปลดแอก เรียกบ้านป่ารอยต่อฯ ว่าเป็นศูนย์รวมคนหัก และเชื่อว่า สส.ที่อยู่ข้างกายลุงป้อม นับวันก็จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ จาก 20 คน น่าจะเหลืออยู่ 7-8 คน
ดูจากปฏิบัติการสอยอุ๊งอิ๊งรายวัน พอประเมินว่า สงครามแค้นครั้งนี้ ไม่จบง่ายๆ และฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐ คงไม่ยอมให้ลุงบ้านในป่าเล่นเกมใต้ดินฝ่ายเดียว
ทายาทเจ้าพ่อสระแก้ว
แวดวงคนกีฬาเมาท์กันสนั่นเมือง เป้าหมายต่อไปของนายใหญ่คือ “บ้านอัมพวัน” หรือสำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ถนนศรีอยุธยา
ระยะหลัง ลุงป้อมใช้บ้านอัมพวัน เป็นฐานบัญชาการการกีฬา-การเมือง ไม่ต่างจากบ้านป่ารอยต่อฯ เนื่องจากมีคนแอบแจกข่าวอยู่บ่อยๆว่า ได้มีการนัดหมาย สส.ต่างพรรคไปเจอลุงป้อมที่บ้านหลังนี้
น่าจับตาว่า พล.อ.ประวิตร นั่งประธานบอร์ดโอลิมปิคฯ 2 สมัยติดต่อกัน และสมัยที่ 2 กำลังจะครบวาระในเดือน เม.ย.2568
อันเป็นที่มาของคนกีฬาการเมืองจับกลุ่มคุยกันว่า ลุงป้อมจะรักษาบ้านอัมพวัน เอาไว้เป็นฐานการเมืองต่อไปได้หรือไม่
เมื่อรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง 1 มีชื่อ “บอย” สรวงศ์ เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา แทนเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช
บอย สรวงศ์ ลูกชายคนโตของเสนาะ เทียนทอง สั่งสมบารมีมาพอตัว จึงได้เป็นเลขาธิการพรรค และถูกมอบหมายให้มาคุมกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา
ว่ากันว่า กระทรวงนี้ หากรัฐมนตรีไม่เก๋าพอ ไม่ทันเกม ก็คุมบิ๊กข้าราชการฝั่งท่องเที่ยวและการกีฬาไม่อยู่
เลือกตั้ง สส.สระแก้ว ปีที่แล้ว เสี่ยบอยเพิ่งสางแค้นเอาชนะสุรศักดิ์ ชิงนวรรณ์ อดีต สส.สระแก้ว สายตรงลุงป้อม ด้วยคะแนนทิ้งห่างกัน 2 หมื่นคะแนน
เจ้าพ่อกีฬาสายบูรพา
อีกด้านหนึ่งของลุงป้อมที่คนไทยคุ้นตา ก็คือ ลุงใหญ่ใจดีของนักกีฬา เพราะเมื่อปี 2560 ในวันที่ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ยังเบ่งบารมีในยุค คสช.
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตนายทหารใหญ่สายบ้านจันทร์ส่องหล้า ได้ประกาศอำลาตำแหน่ง หลังนั่งประมุขบ้านอัมพวัน มาถึง 4 สมัย เป็นระยะเวลา 16 ปี
จังหวะนั้น รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ นายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ ที่ทำหนังสือขอลาออกเพื่อปูทางให้ลุงป้อมเป็นนายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย คนที่ 11
จากนั้น “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อุปนายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย ก็กางแผนยึดบ้านอัมพวัน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คนใหม่
กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ จะมีการล็อกตัวบุคคลเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งบุคคลคนนั้นส่วนมากก็จะเป็นนายทหารระดับสูงผู้มากบารมีของประเทศทั้งสิ้น
ไล่มาตั้งแต่ปี 2509 จอมพลประภาส จารุเสถียร สมัยเป็นผู้บัญชาการทหารบก และก็เป็นประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ จนถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เมื่อปี 2516
ใครจะเป็นประธานโอลิมปิคไทย จะต้องมีเสียงสนับสนุนจาก 38 สมาคมกีฬาสมัครเล่นไทย และเป็นที่ทราบกันว่า นายกสมาคมกีฬาแต่ละแห่งนั้น ต่างก็มีเครือข่ายกับคนการเมืองทั้งสิ้น
ปี 2568 ลุงป้อมจะเป็นประมุขบ้านอัมพวันต่อไปอีก 4 ปีหรือไม่ ย่อมขึ้นกับสงครามแค้นของนายใหญ่-ลุงหยุม จะมีพัฒนาการไปในทิศทางไหน ใครได้เปรียบเสียเปรียบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง