'คมนาคม' หนุนเอกชนเปลี่ยน 'พลังงาน' เครื่องจักร 'ลดคาร์บอน' แบบยั่งยืน
‘คมนาคม’ หนุนเอกชนลงทุนมูลค่ากว่า 145 ล้านบาท เปลี่ยนเครื่องจักรยกขนตู้สินค้าพลังงานดีเซลเป็นพลังงานไฟฟ้า ‘ลดคาร์บอน’ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทย ‘ยั่งยืน’
ดร.มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม(รมช.คมนาคม) เปิดเผยว่าตามนโยบายของรัฐบาล ที่ได้ยืนยันถึงความตั้งใจของประเทศไทยในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2573 ของสหประชาชาติ (UN) ในการประชุมระดับผู้นำ ณ สำนักงานใหญ่ UN เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566
โดยประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะผลักดันความร่วมมือกับหุ้นส่วนความร่วมมือทุกระดับในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการส่งเสริมการเข้าถึงบริการพลังงานสมัยใหม่และใช้นวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระทรวงฯในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการขนส่งของประเทศได้ตอบรับนโยบายดังกล่าว ด้วยการสนับสนุนและให้ความสำคัญกับการผลักดันให้ภาคเอกชนที่อยู่ในกำกับดูแล ดำเนินธุรกิจด้วยการนำวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในท่าเรือ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
“โดยมีบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด ผู้ประกอบการภาคเอกชน ซึ่งได้รับสัมปทานจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ประกอบธุรกิจท่าเทียบเรือเดินทะเลระหว่างประเทศ ในพื้นที่ ท่าเรือแหลมฉบัง ได้ริเริ่มนำนวัตกรรมมาปรับเปลี่ยนเครื่องมือเครื่องจักร ที่ให้บริการในท่าเรือให้มาใช้พลังงานสะอาดแทนที่พลังงานจากฟอสซิล เพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ปล่อยสู่อากาศ ถือเป็นก้าวสำคัญในการดำเนินธุรกิจอันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพร้อมสู่การเป็นท่าเรือสีเขียวในอนาคตตามนโยบายของกรมฯ และรัฐบาลไทย” ดร.มนพร กล่าว
ดร.มนพร กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร หลักในการให้บริการท่าเทียบเรือระหว่าง ประเทศในท่าเทียบเรือ เอ 0 ท่าเรือแหลมฉบัง โดย LCMT ร่วมกับ ZPMC Korea มีมูลค่าการลงทุนกว่า 145 ล้านบาท เมื่อการปรับปรุงแล้วเสร็จ จะสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 1.5 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนต่อปี และจะช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการรายอื่นได้ตระหนักถึงความสำคัญในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน และการดำเนินธุรกิจขนส่งทางน้ำอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาลไทย และตามเป้าหมายของ UN ต่อไป
ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ต้องขอขอบคุณกลุ่มบริษัท แอลซีบีวัน ผู้ประกอบการท่าเทียบเรือบี 1 และท่าเทียบเรือเอ 0 ที่ตลอดระยะเวลากว่า 28 ปีที่ผ่านมาได้ ร่วมมือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยในการส่งมอบบริการด้านโลจิสติกส์ให้กับเรือขนส่งสินค้า ระหว่างประเทศขนาดใหญ่ด้วยมาตรฐานท่าเทียบเรือระดับโลก ซึ่งทำให้สายเดินเรือระหว่าง ประเทศเชื่อมั่นและมั่นใจว่าประเทศไทยจะได้ให้บริการขนส่งตู้สินค้าได้รวดเร็ว ปลอดภัยและเป็น มาตรฐานสากล ความเชื่อมั่นดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นจากปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าที่เข้ามาใช้บริการ ท่าเทียบเรือบี 1 และเอ 0 สูงถึงกว่า 1.7 ล้านทีอียูต่อปีหรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 20 ของ ปริมาณตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ทั้งหมดของประเทศ การจัดการสินค้าที่ดีทำให้เกิดเศรษฐกิจ หมุนเวียนทั้งภายในและภายนอกประเทศ และทำให้ฟันเฟืองของระบบโลจิสติกส์โลกหมุนไปได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทยและกลุ่มบริษัท แอลซีบีวัน ยังได้มี ความร่วมมือกันในมิติด้านการกิจกรรมเพื่อสังคมและการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ต้องขอบคุณในความพยายามของกลุ่มบริษัท แอลซีบีวัน ที่ได้ร่วมมือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในการประกอบกิจการท่าเทียบเรือบี 1 และเอ0 อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยลงทุนเพิ่มเติม กว่า 145 ล้านบาทในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรที่ใช้ในลานตู้สินค้าของท่าเรือจากเดิมที่ใช้แต่ พลังงานจากน้ำมัน มาใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เพื่อลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิส อันจะทำให้สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้ ซึ่งโครงการลงทุนใน ครั้งนี้ สอดรับกับวิสัยทัศน์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ว่า “มุ่งสู่มาตรฐานท่าเรือชั้นนำ ระดับโลก พร้อมการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2573