วันนี้ในอดีต

2 ก.ค.2528  สิ้น"หลวงปู่แหวน สุจิณโณ"  ยอดอริยเจ้าของคนไทย!

2 ก.ค.2528 สิ้น"หลวงปู่แหวน สุจิณโณ" ยอดอริยเจ้าของคนไทย!

02 ก.ค. 2561

อดีตก็เป็นทำเมา อนาคตก็เป็นทำเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้อยู่ในปัจจุบัน ละอยู่ในปัจจุบันนี้จึงเป็นพุทโธ เป็นธัมโม ปัจจุบันก็พอแล้ว

                คนไทยจำนวนมากรู้จักและเคารพบูชา "หลวงปู่แหวน สุจิณโณ" เป็นอันมาก และวันนี้เมื่อ 33 ปีก่อนคือวันที่หลวงปู่ท่านได้ละสังขารจากโลกนี้ไปอย่างที่ต้องเล่าขานสืบมาจนทุกวันนี้

 

                ย้อนไปในอดีต หลวงปู่แหวนนั้น เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2430 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน ณ บ้านนาโป่ง ตำบลหนองใน (ปัจจุบันเป็นตำบลนาโป่ง) อำเภอเมือง จังหวัดเลย

 

 

2 ก.ค.2528  สิ้น\"หลวงปู่แหวน สุจิณโณ\"  ยอดอริยเจ้าของคนไทย!

 

               ตามประวัติเล่าว่า ท่านเกิดในตระกูลของช่างตีเหล็ก โดยเป็นบุตรของนายใส กับ นางแก้ว รามศิริ มีน้องสาวร่วมบิดา- มารดาอีกหนึ่งคนคือ นางเบ็ง ราชอักษร และบิดามารดาของท่านได้ ตั้งชื่อว่า “ญาณ” ซึ่งแปลว่า ปรีชา กำหนดรู้

 

                พอท่านมีอายุ ได้ประมาณ 5 ขวบเศษ โยมมารดาของท่านก็ล้มป่วย อาการหนักจนรู้ตัวว่าคงจะไม่รอด ท่านจึงได้สั่งเสียบุตรชาย หรือ หลวงปู่แหวน ให้เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งพระพุทธศาสนาด้วยการบวช โดยตามตำราเล่าว่า โยมมารดากล่าวกับบุตรชายว่า

 

                “ลูกเอ๋ย...แม่ยินดีต่อลูก สมบัติใดๆ ในโลกนี้ล้วน กี่โกฎก็ตามแม่ไม่ยินดี แม่จะยินดีมากถ้าลูกจะบวชให้แม่ เมื่อลูกบวชแล้วก็ให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมามีลูกมีเมียนะ”

 

                และช่างน่าอัศจรรย์ เมื่อหลวงปู่แหวนในวัยเพียง 5 ขวบในวันนั้น ได้พยักหน้ารับคำเท่านั้น ดวงวิญญาณของโยมแม่ทก็ออกจากร่างไป

 

                และยิ่งอัศจรรย์มากขึ้นไปอีก เมื่อหลังจากนั้นอีกไม่นาน ยายของหลวงปู่แหวน ได้เกิดฝันประหลาดว่าจนต้องนำเอาความฝันมาเล่าสู่ลูกหลานและหลวงปู่แหวนฟังในวันรุ่งขึ้น       

   

                โดยความฝันนั้นมีว่า ได้ฝันว่าหลวงปู่แหวนไปนอนอยู่ในดงขมิ้น จนกระทั่งเนื้อตัวเหลืองอร่ามไปหมด ยายจึงกล่าวกับหลายชายว่า เจ้านี้จะมีอุปนิสัยวาสนาในทางบวช ฉะนั้นยายขอให้เจ้าบวชตลอดชีวิต และขอให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมามีลูกมีเมียเจ้าจะทำได้ไหม

 

                ในที่สุดช่วงปี พ.ศ. 2439 ขณะหลวงปู่แหวนมีอายุได้ 9 ขวบ คุณยายจึงได้ตระเตรียมเครี่องบริขาร จนครบเรียบร้อยแล้ว จึงได้พาเด็กชายทั้งสองเข้าถวายตัวต่อพระอุปัชฌาย์ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า เข้าพรรษาเป็นสามเณร ณ วัดโพธิ์ชัย พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็นเด็กชาย “ญาณ” เป็นสามเณร “แหวน” นับแต่นั้นมา

 

                หลังบรรพชาเป็นสามเณรไม่นาน พระอาจารย์อ้วน ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน ได้พาสามเณรน้อยไปฝากฝังถวายเป็นศิษย์ของท่าน “พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม” (บางแหล่งระบุว่าเป็น พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล  เพราะหลวงปู่แหวนเกิด 16 มกราคม 2430 ส่วนพระอาจารย์สิงห์เกิด 27 มกราคม 2432 พระอาจารย์สิงห์อ่อนกว่าหลวงปู่แหวน 2 ปี) ณ วัดบ้านสร้างถ่อ อำเภอกษมสีมา จังหวัดอุบลราชธานี

 

                และเป็นที่น่าอัศจรรย์ ขณะที่พระอาจารย์อ้วนกำลังพาสามเณรน้อย เดินฝ่าเปลวแดดสีทองมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณวัดในยามบ่ายนั้น พระอาจารย์สิงห์ขนัง ศิษย์สำคัญสูงสุดของพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน คือ “พระมั่น ภูริทัตโต” กำลังมองที่ร่างสามเณรน้อย พลันก็บังเกิดฤทธิ์อำนาจ แห่งอภิญญาณ ทำให้ท่านเห็นรัศมีเป็นแสงสว่างโอภาส เปล่งประกายออกมาจากร่างของสามเณรน้อยผู้นี้ เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการมาเกิด ดั้งนั้นพระอาจารย์สิงห์ จึงได้ถ่ายทอดความรู้ตลอดจนข้อวัตรปฏิบัติทั้งหมดให้

 

                ต่อมาช่วงปี พ.ศ. 2464 หลวงปู่แหวนได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาธรรมกับพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) กระทั่งปี พ.ศ. 2478 ได้เข้าพบ ท่านเจ้า คุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ที่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ ในครั้งนี้ได้เปลี่ยนจากมหานิกายเป็น ธรรมยุติ และได้รับฉายาว่า สุจิณโณ

 

                จากนั้นได้ออกจาริกแสวงบุญต่อ ขณะที่ศึกษาธรรมกับพระอาจารย์มั่นฯ ที่ดงมะไฟ บ้านค้อ จังหวัดอุบลราชธานี มีศิษย์พระอาจารย์มั่นฯ ที่มีอัธยาศัย ที่ตรงกัน 2 ท่านคือ พระขาว อนาลโย และ พระตื้อ อจลธัมโม เช่นเดียวกับคราวที่ จากท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ก็ได้ พระขาว จาริกแสวงธรรมเป็นเพื่อนจนถึงเมืองหลวงพระบาง

 

                ปีพ.ศ. 2489 หลวงปู่แหวนจำพรรษาที่วัดป่าบ้านปง อ.แม่แตง ในพรรษานั้นท่านอาพาธเป็นแผลที่ขาอักเสบต้องผ่าตัด โดยมีพระหนู สุจิตโต ซึ่งเดินทางมาจากดอยแม่ปั๋งพยายามอยู่ใกล้ๆ เมื่อครบ 7 วัน ต้องกลับไปดอยแม่ปั๋ง เพราะอยู่ระหว่างพรรษา จนกระทั่งเดือนเมษายนในปีต่อมา อาการอาพาธจึงดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายสนิทยังเดินไปไหนไกลๆ ไม่ได้ นับแต่นั้นมาพระหนูได้พยายามอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูแลหลวงปู่แหวน

 

                ต่อมาพระหนูได้ดำริว่า ปัจจุบันหลวงปู่แหวนมีอายุมากแล้ว ไม่มีพระภิกษุสามเณรอยู่ด้วย เพื่อเป็นอุปัฏฐาก ถ้านิมนต์มาอยู่ที่ดอยแม่ปั๋งก็จะได้ถวายการดูแลได้โดยง่ายไม่ต้องไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ แต่ก็ต้องเป็นเพียงความคิดของพระหนูเท่านั้น เพราะในเวลาดังกล่าว ดอยแม่ปั๋งยังไม่มีอะไรพร้อมแม้แต่กุฏิก็ยังไม่มี

 

                ปี พ.ศ. 2505 ขณะที่หลวงปู่แหวนมีอายุ 75 ปี คืนวันหนึ่งพระหนูนั่งภาวนาอยู่เกิดเป็นเสียงหลวงปู่แหวนดังขึ้นมาที่หูว่า จะมาอยู่ด้วยคนนะ หลังจากวันที่ได้ยินเสียงหลวงปู่แหวนอีกสามวัน พระอาจารย์หนูได้ถูกนิมนต์ไปที่วัดบ้านปงสถานที่ที่หลวงปู่แหวนอยู่ และถือโอกาสนิมนต์หลวงปู่แหวนมาที่วัดดอยแม่ปั๋งด้วย

 

                เมื่อหลวงปู่แหวนได้มาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ครั้งแรกท่านพักอยู่ที่กุฏิหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง การมาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งนี้ ท่านได้มีข้อตกลงกับพระอาจารย์หนูว่า หน้าที่ต่างๆ และกิจทุกอย่างที่มีขึ้นในวัด ให้ตกเป็นภาระของพระอาจารย์หนูแต่เพียงผู้เดียว ส่วนท่านจะอยู่ในฐานะพระผู้เฒ่าผู้ปฏิบัติธรรม จะไม่มีภาระใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้นหลวงปู่แหวนจะไม่รับนิมนต์โดยเด็ดขาด แม้ที่สุดถึงจะเกิดอาพาธหนักเพียงใดก็ตาม ท่านไม่ยอมนอนรักษาที่โรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ก็จะให้สิ้นไปในป่าอันเป็นที่อยู่ ตามอริยโคตรอริยวงศ์ ซึ่งบูรพาจารย์ท่านเคยปฏิบัติมาแล้วในกาลก่อน

 

                นับตั้งแต่หลวงปู่แหวนได้ขึ้นไปทางเหนือ ท่านไม่เคยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นเลย เพราะอากาศทางภาคเหนือสัปปายะสำหรับท่าน หลวงปู่แหวนได้มรณภาพลงที่วัดดอยแม่ปั๋งแห่งนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2528 สิริอายุ 98 ปี

 

                สำหรับคำสอนที่สำคัญ เช่น อดีตก็เป็นทำเมา อนาคตก็เป็นทำเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้อยู่ในปัจจุบัน ละอยู่ในปัจจุบันนี้จึงเป็นพุทโธ เป็นธัมโม ปัจจุบันก็พอแล้ว อดีต และอนาคตไม่ต้องคำนึงถึง เกิด แก่ เจ็บ ตาย วัน คืน เดือน ปี สิ้นไป หมดไป อายุเราก็หมดไป สิ้นไป หมั่นบำเพ็ญจิต บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนาต่อไป

 

 

2 ก.ค.2528  สิ้น\"หลวงปู่แหวน สุจิณโณ\"  ยอดอริยเจ้าของคนไทย!               

               ส่วนเรื่องเล่าถึงการแสดงปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญของหลวงปู่แหวน ที่หลายคนเล่าขาน คือเรื่องที่ว่ากันว่า “หลวงปู่แหวนเหาะได้”!

 

                โดยย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2516 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ทหารอากาศนายหนึ่งกำลังนำเครื่องบินออกบินตามหน้าที่ปกติ วันนั้นเป็นวันที่ทัศนวิสัยดี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แม้จะมีเมฆ แต่นักบินก็สามารถเห็นท้องฟ้าเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน เขาบังคับเครื่องบินไปตามเส้นทางปกติ ซึ่งเป็นแนวบินที่พาดผ่านเหนือวัดดอยแม่ปั๋ง

 

                ทันใดนั้นเอง เขาต้องตกตะลึง เพราะเบื้องหน้าของตนนั้นปรากฏพระชรารูปหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ขวางเส้นทางการบินอยู่  แต่ด้วยสัญชาตญาณ เขาจึงบิดคันบังคับหลบไปในทันที  เครื่องบินโฉบผ่านพระรูปนั้นไปอย่างฉิวเฉียด

 

             หลังจากตั้งสติได้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ จึงตัดสินใจขับเครื่องบินย้อนกลับมาอีกครั้ง และนั่นทำให้เขายิ่งตกใจซ้ำสอง เพราะพระชรารูปนั้นยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่บนก้อนเมฆเหมือนเดิม  แต่คราวนี้เขาพยายามรักษาระยะห่างของเครื่องเอาไว้ เฝ้ามองพระชรารูปนั้นค่อยๆ หายลับไปในหมู่เมฆ ...

 

                เมื่อนำเครื่องลงจอด เขารีบเข้าไปกราบนมัสการเจ้าคณะเชียงใหม่ ถามท่านว่า ที่เชียงใหม่มีพระองค์ไหนที่แสดงปาฏิหาริย์ได้  ท่านเจ้าคณะบอกว่า เห็นมีอยู่องค์หนึ่งคือ "หลวงปู่แหวน" วัดดอยแม่ปั๋ง

 

                ทันทีที่ทราบ เขาจึงรีบตรงไปที่วัดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตา  เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่า มีผู้คนมากมายมารอพบหลวงปู่แหวนเต็มไปหมด  ปกติแล้ว หลวงปู่แหวนจะไม่ยอมออกมาพบปะใครง่ายๆ ด้วยความที่ท่านเป็นพระที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องและหนีคนตามอุปนิสัยเดิม  ท่านจะออกมาจากห้องก็เฉพาะเวลาฉันเช้าและเจริญพระพุทธมนต์เท่านั้น

 

                นายทหารคนนี้ไปถึงวัดในตอนเช้า เหลือเชื่อว่าเป็นเวลาที่หลวงปู่แหวนออกจากห้องมาฉันเช้าพอดี ... และเมื่อเห็นท่าน นายทหารก็ถึงกับตกตะลึงซ้ำสาม เพราะหลวงปู่แหวนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือพระชราที่เขาเห็นนั่งอยู่บนก้อนเมฆนั่นเอง!!

 

                และนี่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องราวปาฏิหาริย์ ที่คนไทยยังคงเล่าขานมาจนทุกวันนี้

 

                .....สาธุ!....