4 ต.ค.2491 อุบัติเหตุรถยนต์ ทรงประทับขับ จากเหตุคาดไม่ถึง
คงยังมีอีกหลายคนที่เกือบลืมไปว่า องค์พ่อหลวงร.9 ของพวกเราชาวไทย ทรงพระเนตรเทียมข้างขวา และมีพระเนตรข้างซ้ายปกติเพียงข้างเดียว
เดือนนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศไม่เคยลืมเลือน เมื่อเราคนไทยได้สูญเสียพ่อคนเดียวกันไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อ 2 ปีก่อน
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เราคนไทยก็ยังมีองค์พ่อหลวงอยู่ในดวงใจเสมอไป ด้วยรู้กันดีว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงรักในพสกนิกรของพระองค์มากมายขนาดไหน
และยังทรงงานหนักเพื่อประเทศของเรา ทั้งๆ ที่ตลอดมาพระองค์ทรงงานด้วยพระเนตรเพียงดวงเดียว!!
ใช่แล้ว ...คงยังมีอีกหลายคนที่เกือบลืมไปว่า องค์พ่อหลวงร.9 ของพวกเราชาวไทย ทรงพระเนตรเทียมข้างขวา และมีพระเนตรข้างซ้ายปกติเพียงข้างเดียว
และวันนี้เมื่อ 70 ปีก่อน คือวันที่ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้พระองค์ต้องทรงสูญเสียพระเนตรข้างขวา จากอุบัติเหตุรถยนต์ Fiat Topolino ณ ที่แห่งหนึ่งใกล้ๆ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เหตุการณ์นั้น เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ขณะที่องค์พ่อหลวง ร.9 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 21 ชันษา พระองค์ทรงประทับขับรถยนต์ รถยนต์ Fiat Topolino ซึ่งเป็นรถยนต์ตอนเดียวเล็กๆ คันหนึ่ง
และขณะที่กำลังแล่นอย่างรวดเร็วตามถนนผ่านเมืองมอร์จ มุ่งสู่นครเจนีวา ปรากฏว่ารถบรรทุกซึ่งที่อยู่ข้างหน้า ได้เกิดหยุดอย่างกะทันหัน เพราะหยุดรถไม่ให้ชนเข้ากับผู้ขี่จักรยานสองคนอยู่บนถนนหน้ารถบรรทุกนั่นเอง
แต่ก็ไม่ทันการณ์ ด้วยเหตุที่เป็นการหยุดรถโดยกะทันหัน องค์ในหลวง ร. 9 จึงไม่ทรงสามารถเหยียบห้ามล้อได้ทัน ก่อนที่จะเกิดการปะทะกันอย่างจัง
ในรายงานข่าวบรรยายตรงกันว่า เสี้ยววินาทีนั้นเสียงห้ามล้อดังสนั่นไปทั่วบริเวณ แล้วรถยนต์คันเล็กก็ปะทะท้ายรถบรรทุกเข้าอย่างจัง
และผู้ขับรถยนต์คันเล็กนั้น คือ ผู้ซึ่งเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และโชคร้ายที่ทรงได้รับบาดแผลฉกรรจ์ที่พระเนตรข้างขวา
ขณะที่ผู้โดยเสด็จมาด้วยในรถพระที่นั่งคือ นายอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ถึงขนาดได้รับบาดเจ็บกะโหลกศีรษะร้าวเลยทีเดียว!!
ทั้งนี้ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งเศษกระจกได้กระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส โดยหลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หากแต่พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น กระทั่งวินิจฉัยแล้วว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านทางพระเนตรขวาของพระองค์เองได้ต่อไปแล้ว จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด
สำหรับรถยนต์ที่พระองค์ทรงใช้ประทับขับก็คือ Fiat 500 Topolino ซึ่งมีความเร็วสูงสุด 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Topolino ในภาษาอิตาลีแปลว่า Little Mouse ที่มาของชื่อเจ้าหนูน้อยนี้มาจากครื่องยนต์ที่เล็กจิ๋วเพียง 500 cc
ที่ยุโรปรถ Fiat 500 ยังเป็นที่นิยมกันจนถึงปัจจุบัน เพราะด้วยความเล็กกระทัดรัดของตัวรถและเครื่องยนต์ การทำประกันรถคันนี้ก็ราคาสบายกระเป๋าเพราะว่าเครื่องยนต์ที่เล็ก แต่ถ้าอยู่ในเมืองไทย ดูตามตารางแบ่งกลุ่มรถยนต์แล้ว รถรุ่นนี้ราคาประกันไม่สบายกระเป๋าเลยครับ เพราะเป็นรถนำเข้า อะไหล่แท้ต้องสั่งมาจากอิตาลีเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ครั้งนั้น นับเป็นที่มาของสายใยรักระหว่างองค์พ่อหลวงกับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ขณะที่ทรงเป็น ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร
เพราะขณะที่ทรงประทับรักษาที่ดรงพยาบาล ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์ เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิดเป็นประจำ
ข้อมูลระบุว่า สิ่งแรกเมื่อรู้สึกพระองค์ คือ ทรงหยิบรูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ ออกจากพระกระเป๋าส่งถวายสมเด็จพระราชชนนี พร้อมกับรับสั่งว่า “แม่ เรียกสิริมาที”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงเล่าว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่า พระองค์ท่านทรงรักข้าพเจ้า…เพราะเวลานั้น อายุเพิ่งย่าง 15 ปี ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นนักเปียโน เป็นนักเปียโนที่แสดงในงานคอนเสิร์ต ตอนประทับอยู่ที่โรงพยาบาลหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีพระอาการหนักมาก ตำรวจเขาโทรศัพท์ไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระราชชนนี พระองค์ท่านรีบเสด็จไปทันที แต่แทนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีปฏิสันถารกับพระองค์ ท่านกลับทรงหยิบรูปข้าพเจ้าออกมาจากกระเป๋า โดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์ทรงมีรูปข้าพเจ้าอยู่”
“แล้ววันหนึ่งพระองค์ก็ตรัสให้นำตัวข้าพเจ้าเข้าเฝ้าฯ พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า ตอนนั้นข้าพเจ้านึกแต่เรื่องที่จะอยู่กับคนที่ข้าพเจ้ารักเท่านั้น ไม่ได้นึกไปไกลถึงหน้าที่และภาระของพระราชินีเลย”
แน่นอน ในที่สุดคนไทยจึงได้ปลื้มปีตืพร้อมกัน ที่ได้เห็นพระราชพิธี “ราชาภิเษกสมรส” ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระยศในขณะนั้น)
อย่างไรก็ดี จากอุบัติเหตุครั้งนั้น หลังพระองค์ทรงพักฟื้นและกลับมาทำหน้าที่ปกครองประเทศไทยของเราแล้ว ถึงแม้พระองค์จะทรงมีพระเนตรเพียงข้างเดียว แต่คนไทยและชาวโลกได้เห็นแล้วว่า พ่อหลวงของพวกเราทรงมีสายพระเนตรอันกว้างไกล และยิ่งใหญ่นัก
เป็นพ่อหลวงที่คนไทยทุกคนรักเหนือสิ่งใด ตราบทุกลมหายใจ
///////
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
หนังสือ พลังแห่งแผ่นดิน นวมินทรมหาราชา
ภาพ :หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส LE TEMPS