24 ต.ค.2452 ปาฏิหาริย์ พระปฐมเจดีย์ต่อพระพักตร์ ล้นเกล้าร.6
เห็นองค์พระปฐมเจดีย์มีรัศมีสว่างพราวออกทั้งองค์ ดูประหนึ่งว่าองค์พระปฐมเจดีย์ ด้านตะวันตกคือด้านที่เล็งกับสนามจันทร์ทาด้วยฟอสฟอรัสพราวเรือง!!!
ดังที่ทราบกันดีว่า องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นปูชนียสถานอันสำคัญของประเทศไทย ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม และยังมีประวัติความเป็นมายาวนาน
ดังนั้น บางคนจึงไม่แปลกใจกับเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับปาฏิหาริย์แห่งองค์พระปฐมเจดีย์ที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายครานั้น ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะครั้งที่เกิดขึ้นเมื่อวันนี้ของเมื่อ 109 ปีก่อน หรือตรงกับวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม ร.ศ.๑๒๘ ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 11 เวลาดึก 2 ยามกับ 45 นาที
ครั้งในหลวงรัชกาลที่ 6 ยังดำรงพระยศ สยามมกุฎราชกุมาร แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังสนามจันทร์ ทรงพบปาฏิหาริย์แห่งองค์พระปฐมเจดีย์เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั้งองค์ เรียกได้ว่าสำแดงต่อพระพักตร์กันเลยทีเดียว โดยทรงมีจดหมายเหตุกราบถวายรายงานต่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)ความว่า
“...เวลาดึก 2 ยามกับ 45 นาที ซึ่งพระพุทธเจ้าได้นั่งเล่นอยู่ที่เรือนสนามจันทร์ มีข้าราชการมหาดเล็กอยู่ด้วยจำนวนมาก เห็นองค์พระปฐมเจดีย์มีรัศมีสว่างพราวออกทั้งองค์ ดูประหนึ่งว่าองค์พระปฐมเจดีย์ ด้านตะวันตกคือด้านที่เล็งกับสนามจันทร์ทาด้วยฟอสฟอรัสพราวเรือง ตั้งแต่คอระฆังลงมาหน่อยหนึ่ง ตลอดจนยอดมงกุฎ แลยังซ้ำมีเป็นรัศมีพวยพุ่งขึ้นสูงอีกประมาณ ๓-๔ วา ปรากฏอยู่อย่างนี้ ๑๗ นาที จากนั้นก็ดับหายไป เหลือสว่างอยู่แค่ข่องมะหวดลงมาอีกกึ่งนาที ก็ดับหายหมด จนมืดแม้จะมองแต่รูปองค์พระก็ไม่เห็นถนัด ข้าพระพุทธเจ้าได้นับผู้ที่เห็นขณะนั้น ตลอดจนทหารที่อยู่ยามสี่คนเป็นจำนวน ๖๙ คน"
จากนั้น พระพุทธเจ้าหลวงก็ทรงมีพระราชดำรัสว่า เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นผ่านไปทางนครปฐม ก็พบปาฏิหาริย์แบบนี้เช่นกัน มีรับสั่งให้มหาดเล็กตรวจค้นหาดูว่า มีผู้ใดแกล้งทำให้เป็นไปแบบนั้นหรือไม่ ปรากฎว่าไม่มี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าให้สร้าง "พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนย" ภายในพระราชวังสนามจันทร์ หลังจากที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรปาฏิหาริย์แห่งองค์พระปฐมเจดีย์ เพื่อใช้สำหรับทอดพระเนตรปาฏิหาริย์อีกด้วย
อนึ่ง องค์พระปฐมเจดีย์ เชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระโคตมพุทธเจ้า องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ใหญ่ รูป ระฆังคว่ำ ปากผายมหึมา โครงสร้างเป็นไม้ซุง รัดด้วยโซ่เส้นมหึมาก่ออิฐ ถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ ประกอบด้วยวิหาร ๔ ทิศ กำแพงแก้ว ๒ ชั้น ถือเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ ๑ ของประเทศไทยอีกด้วย เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า เป็นที่เคารพสักการบูชาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ทางวัดกำหนดให้มีงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ถึง วันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ รวม ๙ วัน ๙ คืน เป็นประจำทุกปี
สำหรับประวัติการสร้างพระปฐมเจดีย์มี ๒ ตำนาน เรื่องแรกว่าพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งชมพูทวีป ได้ส่งพระมหาเถระ ๕ รูป มีพระโสณะและพระอุตตระเป็นประธานอัญเชิญพระไตรปิฎก มาเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ เวลานั้นตรงกับสมัยของพระเจ้าตวันอธิราชแห่งเมืองทวาราวดี พระมหาเถระทั้ง ๕ มาขึ้นที่เมืองท่าแห่งนี้เป็นแห่งแรกในสุวรรณภูมิ จึงขนานมงคลนามว่า "นครปฐม" และเรียกสืบ ๆ กันมานับแต่บัดนั้น
ภาพถ่ายองค์พระปฐมเจดีย์ในสมัยรัชกาลที่ 5
เรื่องที่สองกล่าวถึงพระยากงผู้ครองนครปฐม มีโอรสองค์หนึ่ง โหรทำนายว่าจะฆ่าพ่อ จึงให้เอาไปลอยน้ำทิ้งเสีย ยายหอมเก็บไปเลี้ยงเป็นบุตรให้ชื่อว่าพาน ต่อมาไปศึกษาศิลปวิทยาการที่เมืองราชบุรี เจ้าเมืองราชบุรีต้องชะตาจึงขอไปเป็นพระโอรส ขณะนั้นเมืองราชบุรีกับนครปฐมเป็นศึกกัน พระยาพานโตเป็นหนุ่มจึงยกทัพมาตีนครปฐม พระยากงทำยุทธหัตถีกับลูกชาย ถูกฟันตายคาคอช้าง พระยาพานเข้าเมืองได้สั่งริบของทุกอย่างเป็นราชบาท แม้แต่มเหสีและนางสนมกำนัลทั้งหมด เทวดา เห็นว่าพระยาพานทำปิตุฆาตเป็นอนันตริยกรรมแล้ว ยังจะเอาแม่เป็นเมียอีก จึงแปลงร่างเป็นแมวแม่ลูกอ่อนนอนขวางประตู พูดกับลูกถึงเรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงของพระยาพาน พระยาพานไปเค้นถามจากยายหอม พอทราบความจริงก็โกรธหาว่ายายหอมปิดบังตน จึงฆ่ายายหอมซะอีกคน ต่อมาสำนึกผิด จึงสร้างเจดีย์สูงชั่วนกเขาเหิน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อธิษฐานขอไถ่บาป
นอกจากนี้ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่องค์มหาเจดีย์ นอกจากพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ยังมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้พระเศียร พระหัตถ์ และพระบาท มาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทรงให้ช่างหล่อเสริมจนเป็นองค์สมบูรณ์ ประดิษฐานอยู่คู่กับองค์มหาเจดีย์สืบมา ประทานนามให้ว่า "พระร่วงโรจนฤทธิ์" มีพระพุทธลักษณะงดงามมาก ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์มหาเจดีย์เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
/////
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
วิกิพีเดีย
https://www.tnews.co.th/contents/371479