25 ต.ค.2498 สิ้น ด.ญ.ซะดะโกะ ตำนานนกกระดาษ 1000 ตัว
จากพิษปรมาณูที่มีผู้เสียชีวิตมากมายมหาศาล แต่การ "รอดชีวิต" ของซะดะโกะ กลับเป็นเหมือนใบอนุญาตให้ใช้ชีวิตต่อเพียงชั่วคราวจากพระเจ้าเท่านั้น!!
คนไทยอาจเคยได้ยินตำนานนกกระเรียน 100 ตัวของชาวญี่ปุ่น ที่ว่าถ้าพับกระดาษเป็นนกได้ถึง 1000 ตัว คำอธิษฐานจะสมหวัง!
แต่มันไม่เป็นจริงสำหรับ ด.ญ.ซะดะโกะ ซะซะกิ เพราะเมื่อวันนี้ของ 63 ปีก่อน หรือตรงกับ วันที่ 25 ตุลาคม 2498 เด็กหญิงชาวญี่ปุ่นผู้นี้ต้องจบชีวิตลงอย่างเศร้าสลด แม้ว่าเธอจะเพียรพยายามพับกระดาษเป็นกระเรียนจำนวนมาก ถึง 1,000 ตัวสำเร็จแล้วก็ตาม
วันนี้ในอดีต พาผู้อ่านหลับตาย้อนเวลากลับไปยังอดีตในช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ควันไฟแห่งสงครามกำลังยุติลง หากเป็นการยุติที่เลวร้ายเกินกว่าใครจะคาดคิด เมื่อที่สหรัฐอเมริกาตัดสินใจทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงที่ฮิโรชิม่าเมื่อ วันที่ 6 ส.ค.2488
ด.ญ.ซะดะโกะที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียง 2 ขวบเศษ แม้เธอจะเป็นหนึ่งในปาฏิหาริย์ที่สามารถรอดชีวิตมาได้ ท่ามกลางซากศพที่มีผู้เสียชีวิตมากมายมหาศาล และซากปรักหักพังแหลกสลายของเมืองไม่เหลือชิ้นดี
แต่การ “รอดชีวิต” ของซะดะโกะ เป็นเหมือนใบอนุญาตจากพระเจ้าที่ให้เธอได้เห็นโลกนี้แต่เพียง “ชั่วคราว” เท่านั้น
พระเจ้าให้โอกาสเธอได้เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหญิงที่งดงามคนหนึ่ง พระเจ้าให้โอกาสเธอได้มีสุขภาพที่แข็งแรง แถมยังเป็นถึงนักกีฬาของโรงเรียน
แต่ในที่สุด ใบอนุญาตการใช้ชีวิตก็หมดอายุลงเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น!!
ซะดะโกะเกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2486 (คศ. 1943) เธอเป็นลูกคนที่สอง และเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวช่างตัดผม
แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อของเธอถูกเกณฑ์ไปทำงานที่โรงพยาบาลทหาร ที่บ้านจึงเหลือเพียงยาย แม่ พี่ชาย และซาดาโกะเพียง 4 คน จนกระทั่งมาเจอเหตุสงครามที่เปลี่ยนชีวิตเธอไป
เวลาผ่านมาหลายปี แม้ว่าซะดะโกะจะใช้ชีวิตปกติ ทั้งยังเป็นเด็กขยัน และชอบทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการวิ่งแข่ง เป็นนักกีฬาของโรงเรียน
แต่มีข้อมูลระบุว่าแทบทุกครั้งที่วิ่งซาดาโกะมักจะมีอาการเวียนหัวและอาเจียนอยู่เสมอ แต่เธอก็เก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมบอกใคร
ที่สุด ความจริงก็ปรากฏ เมื่อซะดะโกะมีอายุได้ 11 ปี ขณะกำลังซ้อมวิ่ง พระเจ้าก็ฟาดบางอย่างลงมาที่ตัวเธอ
วันนั้น ขณะที่ซะดะโกะกำลังซ้อมวิ่ง อยู่ๆ เธอรู้สึกมึนหัวแล้วล้มลง ทางโรงเรียนจึงรีบแจ้งไปยังพ่อแม่ของซาดาโกะและรีบพาซาดาโกะไปโรงพยาบาล
ครอบครัวและทุกคนต่างแปลกใจมาก เพราะที่ผ่านมา ซะดะโกะเป็นเด็กแข็งแรง มีทักษะด้านกีฬาและร้องเพลง และช่วงเดือนสิงหาคม 2497 ขณะที่อยู่ชั้นประถมปีที่ 6 เธอเข้ารับการตรวจสุขภาพ แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ
อย่างไรก็ ความผิดปกติก็ได้แสดงออกครั้งหนึ่ง ช่วงหลังจากนั้นอีก 3 เดือน เธอป่วยเป็นหวัด แล้วเกิดก้อนเนื้อบวมที่ด้านหลังลำคอและกกหู จนต่อมาในเดือนมกราคม 2498 อาการบวมมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าก็บวมคล้ายกับโรคคางทูม
ที่สุด เมื่อเธอล้มสลบลงไป ขณะซ้อมวิ่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ เธอจึงต้องเข้ารับการตรวจจากศูนย์วิจัยขององค์กรคณะกรรมาธิการผู้ประสบภัยจากระเบิดปรมาณู (Atomic Bomb Casualty Commission : ABCC) (ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยอเมริกา ที่เมืองฮิโรชิมา หลังจากการทิ้งระเบิดปรมาณูไปได้ประมาณ 1 ปีเศษ)
ผลการวิจัย พบว่าเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (lymphocytic leukemia) จะมีอายุอีกได้ไม่เกิน 1 ปี !!
และก็ไม่ใช่สาเหตุอะไรเลย นอกจากผลกระทบจากระเบิดนิวเคลียร์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั่นเอง
สิ่งที่สหรัฐอเมริกา ส่งลงมาโจมตีจักรวรรดิญี่ปุ่น คือ ระเบิดปรมาณู ‘ลิตเติลบอย’ ที่เข้ากระแทกใจกลางเมืองฮิโรชิมา ที่ไม่เพียงคร่าชีวิตผู้คนไปในพริบตาแล้ว
แต่ผู้คนที่เหลือรอด ยังต้องเผชิญกับสารกัมมันตรังสีที่ถูกปล่อยออกมาจากระเบิดปรมาณูอีกด้วย โดยว่ากันว่ามีผู้ได้รับผลกระทบมากถึง 258,310 คน
และหนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากสารกัมมันตรังสี ก็คือ ด.ญน้อยซะดะโกะ ซะซะกิ’ (Sadako Sasaki)ในวัย 2 ขวบเท่านั้นโดยจุดศูนย์กลางอยู่ที่สะพานมิซาซะ ซึ่งบ้านของซาดาโกะอยู่ห่างจากบริเวณนั้นไม่ไกลนัก เพียง 2 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างที่เธออพยพหนีออกนอกเมือง เธอถูกฝนกัมมันตรังสีตกใส่
ที่สุด ซะดะโกะ จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกาชาด ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2498
ระหว่างที่ซะดะโกะรักษาตัวที่รพ. ช่วงวันที่ 3 สิงหาคม 2498 “ชิซูโกะ” เพื่อนสนิทของซาดาโกะมาเยี่ยมเธอ และตัดกระดาษสีทองเพื่อใช้พับนกกระเรียนให้ซาดาโกะ ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าถ้าพับนกกระเรียนครบ 1,000 ตัว สิ่งที่หวังก็จะสมปรารถนา
ดังนั้นซาดาโกะจึงเริ่มต้นพับนกกระเรียนเพื่อหวังว่าตนเองจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ
ว่ากันว่า ในช่วงที่ซาดาโกะพักอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น อาการของเธอก็แย่ลงเรื่อยๆ แม่ของซาดาโกะได้ตัดชุดกิโมโนลายเชอรี่บลอมซ่อมให้ เพื่อหวังจะให้ซาดาโกะได้ใส่ ก่อนจะจากไป ซึ่งชุดกิโมโนนี้ก็ช่วยทำให้อาการของซาดาโกะดีขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นแพทย์จึงอนุญาตให้ซาดาโกะกลับบ้านได้ 2-3 วัน
นอกจากนี้ ระหว่างนั้น ซาดาโกะได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับเด็กชายเคนจิ ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าเพราะแม่เสียชีวิตด้วยโรคลูคีเมีย และตัวเขาเองก็ป่วยเป็นโรคลูคีเมียระยะสุดท้ายเช่นกัน โดยได้รับรังสีปรมาณูตอนยังอยู่ในท้องของแม่ และป่วยเป็นลูคีเมียตั้งแต่เกิด
ซะดะโกะเองก็พยายามให้กำลังใจเคนจิ ด้วยการเล่าเรื่องการพับนกกระเรียน แต่แล้วเคนจิก็เสียชีวิตก่อนซาดาโกะ
ที่สุด เด็กหญิงน้อยกลับมาพักรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง และเธอยังคงพับนกกระเรียนต่อไปเรื่อยๆ
ปลายเดือนตุลาคม เท้าข้างซ้ายของซะดะโกะบวมเป่งขนาด 1.5 เท่าของขนาดปกติ และกลายเป็นสีม่วงอมแดง ทำให้เธอเจ็บปวดจนนอนไม่หลับ
และเช้าวันที่ 25 ตุลาคม ครอบครัวของซาดาโกะสังเกตเห็นว่าอาการของเธอทรุดหนักมาก
แต่พ่อของซาดาโกะพยายามกระตุ้นให้เธอทานอาหาร ซึ่งเธอก็ตอบว่าอยากทานข้าวราดน้ำชา พ่อของเธอจึงรีบไปซื้อข้าวสวยจากโรงอาหารมาทำข้าวราดน้ำชา และป้อนให้เธอทาน 1 คำ
เธอกล่าวว่า “อร่อย” และทานคำที่สอง พร้อมกับหลับตา สิ้นลมหายใจท่ามกลางอ้อมกอดของครอบครัวที่หัวใจทุกดวงแตกสลายตรงนั้น
ซาดาโกะจบชีวิตลงด้วยวัย 12 ปี 9 เดือน ซึ่งมีข้อมูลระบุว่า เป็นวันเดียวกับที่ห้องต้นไผ่ของเธอ ชนะเลิศการวิ่งแข่งในงานกีฬาสีเมื่อปีก่อน
อย่างไรก็ดี มีข้อมูลแย้งกันหลายแหล่งเกี่ยกวับนกกระเรียนของซะดะโกะ บางแหล่งระบุว่า เธอพับได้ 644 ตัวเท่านั้น ซึ่งชิซูโกะได้ช่วยพับนกกระเรียนต่อจนครบ 1,000 ตัว และฝังนกกระเรียนนั้นไปพร้อมกับร่างของซาดาโกะในหลุมศพ
แต่บางแหล่งระบุว่า ซาดาโกะพับนกกระเรียน ได้มากกว่า 1,300 ตัว (ข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์สันติภาพฮิโรชิมา) หรือมากกว่า 1,500 ตัว (ข้อมูลจาก Hiroshima Starship, Hiroshima International Youth House) หรือมากกว่า 2,000 ตัว (ข้อมูลจาก ซาซากิ ยูจิ นักร้องและนักแต่งเพลง ผู้เป็นหลานของซาดาโกะ)
แต่ไม่ว่าเธอจะพับได้กี่ตัว ปาฏิหาริย์ก็มิได้เกิดขึ้นทำให้เธอหายจากอาการป่วย
นอกจาก ปาฏิหาริย์ในใจผู้คนที่มีการนำจดหมายที่ซะดะโกะเขียนไว้ในช่วงที่พักรักษาในโรงพยาบาลออกตีพิมพ์จำหน่าย และนำเงินมาสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นการรำลึกถึงตัวเธอ และเด็กญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณูในสงครามโลก โดยอนุสรณ์นี้ตั้งอยู่ที่เมืองฮิโรชิม่า บ้านเกิดของซาดาโกะ สร้างเสร็จเมื่อปี 2501 (ค.ศ. 1958)
และเรื่องราวของเธอและการพับนกกระเรียนได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง และสันติภาพ ที่ได้รับการกล่าวถึงมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
*****//******
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Sadako_Sasaki
https://myhero.com/s_sasaki
http://www.indiandownunder.com.au/2015/11/the-story-of-sadako-sasaki/