15 ม.ค.2561 ช็อคโลก นักร้องเพลง "ซอมบี้" จมอ่างเสียชีวิต
วันนี้เมื่อปีก่อนคือวันที่ นักร้องนำสาวเสียชีวิต แต่วันนี้ของปีนี้ คือวันที่แทร็กใหม่จะเปิดตัวเพื่อฉลองครบรอบ 1 ปีการจากไปของเธอ กับอัลบั้มชุด In The End!
วันนี้เมื่อปีที่แล้ว รับศักราชใหม่ด้วยข่าวเศร้าของคนในแวดวงบันเทิงระดับโลกกันเลยทีเดียว
เมื่อข่าวแจ้งว่า “โดโลเรส แมรี ไอลีน โอริออร์แดน” ที่คนไทยรู้จักว่าเธอคือเจ้าของเสียงมีเอกลักษณ์ในบทเพลงดังอมตะอย่าง “ซอมบี้” หรือนักร้องนำวง "เดอะ แครนเบอร์รี่ส์" ได้เสียชีวิตลงกะทันหันด้วยเหตุบางอย่าง
ซึ่งในช่วงแรกข่าวยังไม่มีการระบุถึงสาเหตุการตาย จนทำให้คนทั่วโลกต่างทั้งช็อคและสงสัยไปตามๆ กัน ถึงขนาดที่บางคนระบุว่าเป็นการฆ่าตัวตาย หรือ หลายคนพูดถึงอาการของโรคซีมเศร้า และอีกหลายสาเหตุ
แต่ในที่สุด ช่วงเดือนกันยายน 2561 ข่าวได้ออกมาอย่างเป็นทางการถึงผลการชันสูตรว่า สาเหตุการตายของเธอนั้นมาจากการจมน้ำจากการเมาและหมดสติในอ่างอาบน้ำนั่นเอง
วันนี้ในอดีต จึงขอเรียบเรียบเรื่องราวชีวิตของเธอมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง
ชีวิตวัยต้น
โดโลเรส แมรี ไอลีน โอริออร์แดน หรือ "โดโลเรส โอริออร์แดน" เกิดเมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 2514 ที่บอลลีบริคเคน มณฑลลิเมอร์ริก จังหวัดมุนสเตอร์ สาธารณรัฐไอร์แลนด์
เธอเป็นบุตรสาวสาวคนสุดท้องจากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 9 คน (ในจำนวนนี้มี 2 คนที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก)
พ่อของเธอ คือ เทเรนซ์ แพททริก โอริออร์แดน เสียชีวิตแล้วในปี 2554 จากโรคมะเร็ง เขาเคยเป็นกรรมกรในไร่เกษตรกรรมแห่งหนึ่ง แต่ภายหลังต้องออกจากงาน เนื่องจากสมองได้รับความกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนตร์ ส่วนแม่ของเธอ คือ ไอลีน โอริออร์แดน เป็นพนักงานขายอาหารในโรงเรียน
วัยเรียน โดโลเรสได้เข้ารับการศึกษาที่ “ลอเรล” ฮิลล์ ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วนโรมันคาทอลิก
ชีวิตแห่งความฝัน
ช่วงปี 2533 หรือ ขณะที่ สาวไอริช “โดโลเรส” มีอายุ 19 ปี โดโลเรส โอริออร์แดน ไปร่วมคัดตัว และเป็นผู้ชนะคว้าตำแหน่งนักร้องนำของวงดนตรีที่มีชื่อว่า The Cranberry Saw Us ได้ ซึ่งภายหลัง วงนี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็น The Cranberries อันโด่งดังทั่วโลกนั่นเอง
สำหรับสมาชิกวง นอกจากนักร้องนำหญิงผู้นี้แล้ว คนอื่นคือ Noel Hogan–electric and acoustic guitars, Mike Hogan–bass guitar และ Fergal Lawler–drums and percussion
แฟนๆ โดโลเรส และวงเดอะแครนเบอร์รี่ส์ ต่างยอมรับในน้ำเสียงของนักร้องนำ ซึ่งมีโทนเสียงเมซโซ-โซปราโน (Mezzo-soprano) และฝืมือการทำเพลงที่มีสไตล์ของวงอัลเทอร์เนทีฟร็อก หากเพลงของพวกเขากลับออกมาในท่วงทำนองเพลงเพื่อชีวิต ที่กล่าวถึง สิ่งแวดล้อม สงคราม, การเมือง, การต่อสู้, ชนชาติไอร์แลนด์รากเกิดของเธอและวง ฯลฯ ผสานกับการทำดนตรีชั้นยอดที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ทางวงได้ออกอัลบัมมากถึง 5 ชุด และได้รับเสียงตอบรับทั่วโลก เรียงลำดับดังนี้
1. อัลบั้มชุด Everybody Else Is Doing It, So Why Can't We? ช่วงปี 2536 มีเพลงดังอย่าง Linger, Dream, Put Me Down ฯลฯ
2. อัลบั้มชุด No Need to Argue 2537 ที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักพวกเขามากขึ้นอย่างกว้างขวาง ทั้ง Ode to My Family, “Yeats' Grave” และโดยเฉพาะบทเพลงดังก้องโลกที่ผับทุกที่ในเมืองไทยต้องเปิด คือ เพลง Zombie ที่คนไทยหลายคนร้องฮัมอย่างชอบรัก โดยไม่รู้ความหมายว่ามันคือการพูดถึงสงครามและการเข่นฆ่า ราวกับว่ามีซอมบี้ผีดิบในใจเราทุกคน และทุกเพลงในชุดนี้ โดโลเรสแต่งเนื้อร้องเองทั้งหมด!
3. อัลบั้มชุด To the Faithful Departed 2539 มีเพลงดังอย่าง Salvation, When You're Gone, Free to Decide หรือ War Child ที่กล่าวถึงความทุกข์ยากของเด็กๆ จากสงครามของผู้ใหญ่ ฯลฯ
4. อัลบั้มชุด Bury the Hatchet 2542 มีเพลงดังอย่าง Animal Instinct, Promises, Just My Imagination ฯลฯ
และ 5. อัลบั้มชุด Wake Up and Smell the Coffee ช่วงปี 2544 มีเพลงฮิตอย่าง Analyse, Time Is Ticking Out, This Is the Day ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีอัลบัมรวมเพลงฮิต Stars-The Best of 1992-2002 ออกวางตลาดในปี 2545 (2002) ก่อนที่พวกเขาจะแยกวงกันไป ซึ่งเรียกว่าเป็นช่วงพักวง แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายของแฟนๆ ทั้วโลกยิ่ง
แต่ในที่สุด แฟนเพลงก็ได้เฮ เมื่อพวกเขากลับมารวมวงกันอีกครั้งในปี 2552 โดยหลังจากหกปีที่หายไป แครนเบอร์รี่ส์ ได้รวมตัวกันอีกครั้งและเริ่มทัวร์อเมริกาเหนือตามด้วยรายการในละตินอเมริกาและยุโรป
ช่วงนั้นพวกเขาได้มีอัลบั้มรวมฮิตไลฟ์คอนเสิร์ต ชื่อว่า Bualadh Bos–The Cranberries Live (2009) ซึ่งรวมเพลงเก่าที่ยังคงติดหู และติดอยู่ในหัวใจแฟนเพลงทุกคน
จากนั้นก็ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 6 Roses และวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 โดยมีเพลงฮิตอย่าง Show me the way, Tomorrow, Fire & Soul ฯลฯ
จนกระทั่งช่วง เมษายน 2560 นี่เอง ที่แครนเบอร์รี่ส์ได้ออกสตูดิโออัลบั้ม ที่ 7 ชื่อชุด Something Else ซึ่งเป็นอัลบั้มรวมฮิตเพลงเก่าของวงเช่นกัน
โดย Something Else เป็นอัลบั้มซึ่งเป็นแบบอคูสติก หากเป็นอัลบั้มสุดท้ายของวงที่ปล่อยออกมาในช่วงชีวิตของนักร้องนำ อย่างที่เรารู้กัน
อย่างไรก็ดี แฟนๆ วงนี้ เตรียมรับข่าวดี เพราะ พวกเขาที่เหลือ มีกำหนดจะเปิดตัวซิงเกิ้ล 'All Over Now' ซึ่งเป็นเพลงแรกจาก In The End สตูดิโออัลบั้มสุดท้ายของพวกเขากับ Dolores O’Riordan ในวันที่ 15 มกราคม 2562 หรือวันนี้ นั่นเอง
แทร็กใหม่จะเปิดตัวเพื่อฉลองครบรอบปีแรกของการเสียชีวิตของ O’Riordan ในปี 2561 หนึ่งในสมาชิกวงกล่าวว่า
“ หลังจากที่โดโลเรสจากไปอย่างคาดไม่ถึงในเดือนมกราคม 2561 เราใช้เวลาสักพักแล้วหยุดแผนการทั้งหมด เมื่อเวลาผ่านไปเราเริ่มคิดว่าเราจะให้เกียรติเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมวงของเราอย่างไร นี่เป็นกระบวนการที่เจ็บปวดมาก"
"สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำคือการทำอัลบั้มให้เสร็จ เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการ เราพูดกับครอบครัวของ Dolores และพวกเขาเห็นด้วย"
“ เราขอถือโอกาสนี้ขอบคุณครอบครัวและเพื่อนของ Dolores และเพื่อน ๆ ทุกคนที่ร่วมงานกับวงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สำหรับแฟน ๆ ของเราที่ยืนเคียงข้างเรามาเกือบสามสิบปี ขอบคุณโดยไม่มีคุณสิ่งนี้จะเป็นไปไม่ได้ มันเป็นการเดินทางที่เหลือเชื่อ
“ เราอุทิศอัลบั้มนี้ให้กับเพื่อนรักของเราและเพื่อนร่วมวงโดโลเรส เธอจะอยู่กับเราเสมอในเพลงของเธอ”
มุมหนึ่งของชีวิต
หากใครเป็นแฟนเธอจริงๆ จะรู้ว่า ช่วงที่หยุดพักวง “โดโลเรส” ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเธอเองชื่อว่า Are You Listening? ในเดือนพฤษภาคม 2550 โดยมี “Ordinary Day” เป็นซิงเกิลแรก
ตามมาด้วยอัลบั้ม No Baggage 2552 นอกจากนี้ในปี 2557 เธอยังเป็นหนึ่งในโค้ชของรายการเดอะ วอยซ์ (ไอร์แลนด์) และได้ร่วมกับแอนดี รูร์ก มือเบสวงเดอะสมิทส์, โอเล โกเรตสกี จากวงเจ็ทแล็ค ตั้งวงดนตรีแนวออลเทอร์นาทิฟ ร็อก ชื่อว่า D.A.R.K. โดยมีผลงานอัลบั้ม Science Agrees ออกวางจำหน่ายในเดือนกันยายน 2559
ผลงานอื่นๆ ก่อนหน้านั้น เช่น ช่วงปี 2546โอ’ริออร์แดนควรจะมีส่วนร่วมในซาวน์ดแทร็กเรื่อง Spider-Man 2 ในเพลง “Black Widow” แต่เพลงนี้ถูกตัดออกไปจากในหนัง แต่ภายหลังเพลงนี้ไดู้ถูกนำมารวมไว้ในอัลบัมเดี่ยว “Are You Listening”
ในปี 2547 เธอยังร่วมงานกับนักร้องชาวอิตาเลียน ซักเชโร ในอัลบัม Zu & Co. ในเพลง “Pure Love” อัลบัมนี้รวมศิลปินชั้นนำไว้มากมาย อาทิเช่น สติง, เชอรีล โครว์, ลูเชียโน พาวารอตติ, ไมเคิล โบลตัน และอีริค แคลปตัน ปีเดียวกันนั้น เธอร่วมงานกับนักประพันธ์ แองเจโล บาดาลาเมนติ ในซาวน์ดแทร็ก Evilenko โดยที่เธอร้องให้ในหลายๆ เพลง รวมทั้งเพลงธีมของหนัง “Angels Go The Heaven”
ในปี 2548 เธอไปเป็นนักร้องรับเชิญในอัลบัม Tripomatic Fairytales 3003 ของ Jam & Spoon โดยร้องในเพลง “Mirror Lover”
โดโลเรส ยังเคยแสดงรับเชิญในภาพยนตร์ตลก Click ของอดัม แซนด์เลอร์ ที่ออกฉายตอนกลางปี 2549 โดยที่เธออยู่ในฉากที่เธอร้องเพลง “Linger” ของเธอเองในเวอร์ชันที่ช้าและนุ่มนวลยิ่งขึ้น
ชีวิตส่วนตัว
ช่วงปี 2537 ช่วงที่เธอกำลังรุ่งสุดๆ จากงานเพลง เธอได้แต่งงานกับ “ดอน เบอร์ตัน” อดีตผู้จัดการทัวร์ของ “ดูแรน ดูแรน” พวกเขามีลูกคนแรกด้วยกัน ชื่อ “เทย์เลอร์ (Taylor Baxter) เกิดเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2540 ในช่วงพักระหว่างอัลบัม To the Faithful Departed และ Bury the Hatchet
บ้างก็ว่ากันว่า เพลงดังอย่าง "Animal Instinct" โดโลเรสแต่งโดยได้รับแรงบันดาลใจจากความเป็นแม่คน เพราะเวลานั้นเธอกำลังมีลูกชายในวัยกำลังน่ารักอย่าง "เทยเลอร์" นั่นเอง จากนั้นในปี 2544 เธอก็ให้กำเนิดลูกคนที่สอง “มอลลี (Molly Leigh) เกิดเมื่อ 27 มกราคม 2544 และตรงกับวันเกิดของสามีเธอโดยบังเอิญอีกด้วย
จากนั้นวันที่ 10 เมษายน 2547 โดโลเรสให้กำเนิดลูกสาว ดาโกตา เรน (Dakota Rain)
แต่ชีวิตที่ดูเหมือนจะสวยสดเพียบพร้อม ใครจะล่วงรู้ว่าในอีก 20 ปีต่อมา ชีวิตคู่ของโดโลเรสจะจบลง ช่วงปี 2557 พวกเขาได้หย่าร้างกัน หลังจากที่่ใช้ชีวิตร่วมกันมากว่า 20 ปี
วาระสุดท้าย
15 มกราคม 2561 โดโลเรส โอริออร์แดน เสียชีวิตในวัย 46 ปี ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีการเปิดเผยสาเหตุในการเสียชีวิตว่ามาจากอุบัติเหตุจากการจมน้ำเนื่องจากภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ โดยเจ้าหน้าที่พบสพของเธอจมอ่างน้ำในห้องพักของโรงแรมหรู ระหว่างการเดินทางไปบันทึกเสียงผลงานเพลง
ทั้งนี้ ช่วงเดือน กันยายนปีเดียวกัน สื่อ "เดอะ มิร์เรอร์" ได้ระบุ่าในตอนที่ศาลทำการไต่สวนนั้น "นาตาลี สมาร์ท" หนึ่งในคนที่เห็นที่เกิดเหตุให้การว่าศพของ โอ ริออร์แดน อยู่ในสภาพที่อยู่ใต้น้ำ โดยที่จมูกของเธอก็ไม่ได้โผล่มาเหนือน้ำด้วย
ขณะเดียวกันรอบๆ อ่างอาบน้ำก็มีขวดเหล้าวางอยู่เต็มไปหมด แถมผลการชันสูตรศพก็ยังพบว่าในร่างกายของเธอมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงมาก
ขณะที่ เวบไซต์ บีบีซี รายงานว่า ผลการชันสูตรพลิกศพของโดโลเรส โอริออร์แดน ออกมาแล้ว พบว่าเป็นอุบัติเหตุอันน่าเศร้าสลด จากการจมน้ำในอ่างอาบน้ำ เนื่องจากร่างกายไม่มีร่องรอยการได้รับบาดเจ็บหรือการทำร้ายตัวเองแต่อย่างใด
ชีวิตไม่ง่าย
แม้จะเป็นอุบัติเหตุ แต่เราอดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดคนๆ หนึ่งถึงได้เมามายมากมายขนาดนั้น มันจึงยิ่งตอกย้ำข้อมูลก่อนหน้านั้นที่มีความพยายามหาสาเหตุและแรงจูงใจของการตายของนักร้องคนดังคนนี้
เช่นว่า นอกจากเธอนั้นเริ่มมีจิตใจที่ไม่ปกติหลังการหย่าร้างกับคู่ชีวิตที่อยู่กินกันมานานอย่าง ดอน เบอร์ตันแล้ว
อีกทางหนึ่งในวัยเด็ก เธอได้ผ่านความเจ็บปวดมามากมาย โดยก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิต 4 ปี หรือราวปี 2556 (ก่อนหย่าร้าง 1 ปี) เดอะเบลฟาสต์เทเลกราฟ สื่อไอริชชื่อดัง ได้ตีพิมพ์บทความที่บอกเล่าเรื่องราวอันแสนเศร้าของของนักร้องสาวผู้นี้
ซึ่งบทความนี้เขียนขึ้นหลังจากที่นักร้องสาวได้ทำร้ายร่างกาย และถ่มน้ำลายใส่หน้าเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินของสายการบินหนึ่ง
บทความนั้นระบุว่า ขณะนั้นโดโลเรสกำลังมีปัญหาชีวิตอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับที่ได้อ้างคำบอกกล่าวของ ผู้เป็นมารดาของโดโลเรส ว่าลูกสาวของเธอกำลังอยู่ในช่วง “เปราะบางอย่างหนัก”
นับวันความเจ็บปวด ความเศร้า และความทรมานที่เธอแบกรับมานานหลายปีมันก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
โดยโดโลเรสเคยเล่าให้นักข่าว เจ้าของบทความนี้ฟังว่าตอนที่เธออายุ 8 ขวบ เธอเคยถูกข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่านานถึง 4 ปี แล้วก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นน้ำมือของพี่ชายของเธอเอง
ข่าวนี้ทำทั่วโลกสุดช็อค เพราะเราไม่เคยรู้เลยว่า ภายใต้ใบหน้าสวยงามและความสามารถระดับตำนาน เธอจะมีเบื้องหลังที่ปวดร้าวขนาดนี้
หากบางคนกลับมองว่านี่แหละคือที่มาของผลงานที่เธอถ่ายทอดออกมาจากความบอบช้ำของชีวิต
บทความยังระบุอีกว่า การที่โดโลเรสถูกข่มขืน เธอเฝ้าโทษตัวเองมาโดยตลอด และรู้สึกขยะแขยงตัวเองมาตลอด มันทำให้เธอกินไม่ได้ และมีอาการของโรคอะนอเร็กเซีย และโรคซึมเศร้า ตั้งแต่อายุ 18 หรือเพิ่งเริ่มเข้าวงการ จนเคยคิดอยากจบชีวิตตัวเอง
โดยช่วงปี 2555 เราเคยเกือบเสียเธอไปแล้ว โดยเธอเคยกินยาเกินขนาด แต่ก็ฮึดสู้ขึ้นมา เพราะนึกถึงลูกๆ แต่ก็ยังไม่วายหวนกลับไปคิดถึงแต่เรื่องในอดีตซ้ำแล้วซ้ำอีกจนต้องหาทางออกด้วยการดื่ม ดื่ม และดื่ม
จนกระทั่งในที่สุด โดโลเรสก็มาถึงจุดจบ ท่ามกลางขวดเหล้าที่ได้แต่ทิ้งบทสรุปให้กับคนอื่นๆ ว่ามันคืออุบัติเหตุที่เกิดจากการเมาจนหมดสติแล้วจมน้ำ
แต่ใครจะรู้ดีกว่าตัวเองคงไม่มี ก็ได้แต่คิดว่าหากวิญญาณมีจริง วันนั้นเธออาจกำลังมองร่างไร้ลมหายใจของตนเองอยู่ในอ่าง ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเสียที
///////
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
วิกิพีเดีย