5 มี.ค.2496 ฉากชีวิตสุดพีค ของผู้นำสุดโหด!
เด็กน้อยโซซา โตมากับสภาพแวดล้อมสังคมและความรุนแรง โดยเฉพาะจากคนในครอบครัว อย่างบิดาที่มีส่วนบ่มนิสัยสตาลินให้เป็นคนก้าวร้าว!
*********************
เชื่อว่าคนไทยจะคุ้ยเคยกับผู้นำชื่อก้องโลกคนนี้กันดี “โจเซฟ สตาลิน” และหลายคนน่าจะเคยผ่านตาเมื่อพบว่าเขาคือหนึ่งในสุดยอดผู้นำโคตรโหดของโลกใบนี้
และวันนี้เมื่อ 66 ปีก่อน หรือตรงกับวันที่ 5 มีนาคม 2496 (ค.ศ. 1953) คือวันที่เขาจากโลกนี้ไปด้วยอายุ 75 ปี ณ เมืองดาซา สหภาพโซเวียต
วันนี้จึงมีเรื่องราวของชายหนวดเหล็ก แห่งแดนรัสเซียคนนี้มาเล่าสู่กันฟังในบางแง่มุม เพื่อยืนยันว่าคนจะยิ่งใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลังฉากชีวิตไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
มีคำกล่าวหนึ่งในภาพยนต์ Split ที่ตัวละครหลากบุคลิกกล่าวว่า ว่า "The broken are the more evolved." ผู้แหลกสลายจะมีวิวัฒนาการที่ดีกว่า ก็น่าจะเทียบเคียงกับเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ได้
หากจำกันได้ คอลัมน์วันนี้ในอดีต เคยนำเสนอฉากชีวิตของ จอมโหด “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ไปแล้ว ว่าฉากชีวิตวัยเด็กของเขาล้วนเต็มไปด้วยปมเงื่อนที่มีส่วนทำให้เขาโตขึ้นมาเป็นอย่างที่เรารู้กัน เขาคือผู้แหลกสลายมาก่อนคนหนึ่ง (อ่าน 3 ม.ค.2446 ทำไมฮิตเลอร์ต้องเกลียด…? http://www.komchadluek.net/news/today-in-history/308006)
ส่วน โจเซฟ สตาลิน อดีตผู้นำสหภาพโซเวียต ผู้ซึ่งมีชีวิตในช่วงเดียวกันกับฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเยอรมัน โดยสตาลินเกิดก่อนฮิตเลอร์ 11 ปี แต่ฮิตเลอร์เสียชีวิตก่อนเขา 8 ปี ทั้งคู่มีฉากชีวิตแทบไม่แตกต่างกันเลย
เพราะสตาลินเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องใช้คำว่า “the broken one” ผู้ซึ่งในที่สุด ก็ได้เติบโตขึ้นมาเป็นดังจอมคนและปีศาจในร่างเดียวกัน และต่อไปนี้คือเรื่องราวความสุดพีคของชีวิตอดีตผู้นำดินแดนหลังม่านเหล็กที่ขอนำเสนอ 4 เรื่องด้วยกัน
ความยากจนและความรุนแรง
โจเซฟ สตาลิน เกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2421 (ค.ศ. 1878) ที่เมือง โกรี (Gori) แคว้นทิพลิส (Tiflis) ประเทศจอร์เจีย (Georgia) เมืองเกิดของเขานั้นตั้งอยู่บนเนินสูงของเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐของจักรวรรดิรัสเซียสมัยนั้น
สตาลินขณะอายุ 16 ปี
เขาก็เป็นชาวจอร์เจียนโดยกำเนิด โดยชื่อ สตาลิน นี้เขาตั้งขึ้นมาเองขณะทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ (stalin ในภาษารัสเซียแปลว่า เหล็กกล้า)
ก่อนที่สตาลินจะเติบโตขึ้นมาและสืบทอดอำนาจจาก “วลาดิมีร์ เลนิน” และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก สตาลินมีวัยเด็กที่ต้องไฮไลท์
สตาลิน มีชื่อเดิมว่า “โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี” เกิดมาในครอบครัวยากจน โดยก่อนหน้าที่เขาจะถือกำเนิดมานั้น บิดาและมารดาของเขาได้ให้กำเนิดบุตรมาแล้วถึง 2 คน แต่ก็เสียชีวิตหลังจากเกิดได้ไม่นาน
จนมาถึงสตาลิน ที่เป็นบุตรคนที่ 3 ว่ากันว่า ภายหลังการเกิดนั้นมารดาของสตาลินได้สวดอ้อนวอนอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ให้พรากชีวิตบุตรชายของเธอไป พร้อมกับอธิษฐานว่าเธอและบุตรชาย จะอุทิศตนเองเพื่อพระผู้เป็นเจ้าตลอดไป
สตาลิน มีชื่อเล่นในวัยเด็กคือ “โซซา” เป็นลูกของช่างทำรองเท้า ชื่อ “วิซซรีออน” (Vissarion Jughashvili) แต่ก็ยังเป็นช่างเมาด้วย นั่นคือติดสุราอย่างหนัก แต่น่าเศร้าที่เมื่อเขาเมา เขาก็มักทุบตีคนในครอบครัวเสมอ
ต่อมาพ่อของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองทิฟลิส ทำให้สตาลินต้องอาศัยอยู่กับมารดาเพียงคนเดียวในจอร์เจีย
ด้วยสภาพของโซเวียตที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาแต่ไหนแต่ไร เมืองที่เขาอยู่จึงเต็มไปด้วยอาชญากรรม การเอารัดเอาเปรียบ ความรุนแรงตามท้องถนน
เด็กน้อยโซซา จึงโตมากับสภาพแวดล้อมสังคมและความรุนแรง ไม่เพียงจากคนในครอบครัวอย่างบิดา ที่มีส่วนบ่มนิสัยสตาลินให้เป็นคนก้าวร้าว
แต่ยังส่งต่อไปถึงความเกลียดชังชาวยิวอีกด้วย ทั้งๆ ที่เมืองที่เขาอยู่ ไม่มีใครต่อต้านชาวยิวเลย ชาวยิวอยู่ร่วมกับคนพื้นเมืองมานานอย่างสันติ นิยมประกอบอาชีพนายทุนเงินกู้ พ่อค้า ช่างตัดเสื้อ ช่างตัดรองเท้า เป็นต้น
หลายคนวิเคราะห์ว่า เหตุผลหลักที่สตาลินจงเกลียดชาวยิว นั่นก็ความยากจนของครอบครัว ทำให้มารดาของเขาต้องไปกู้เงินจากนายทุนชาวยิวซึ่งเรียกดอกเบี้ยราคาแพง และจะเข้ามายึดสิ่งของในบ้านเป็นค่าปรับเมื่อผิดนัดชำระดอกเบี้ยนั่นเอง
บุรุษมากความสามารถ
ดังที่เล่าไปข้างต้นว่า มารดาของเขาเคยอธิษฐานอุทิศดวงวิญญาณให้แก่พระเจ้า ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจให้สตาลินบวชเป็นพระ และเข้าเรียนในโรงเรียนสามเณรกอรี ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1888
เวลานั้น มารดาของเขาทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้านกับเศรษฐีใจบุญคนหนึ่ง ซึ่งสตาลินเป็นคนที่สำนึกในบุญคุณคน เมื่อเขามีบุตรชายคนแรก เขาได้ตั้งชื่อว่ายาคอฟตั้งตามชื่อผู้ที่อุปการะเขา
สตาลินเป็นคนขยัน และมีความจำดี หัวไว ทำให้มีผลการเียนดีมาก และยังได้รับทุนการศึกษาของโรงเรียน พร้อมได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนตัวอย่าง
สตาลินขณะอายุ 24 ปี
ขณะเดียวกันเขายังมีพรสวรรค์ด้านการขับร้องเพลง และดนตรีอีกด้วย เชื่อหรือไม่ว่าเขาเคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยคอนดักเตอร์ พร้อมกับเป็นหัวหน้าคณะนักร้อง โดยสตาลินเองมักถูกจ้างไปร้องเพลงในงานแต่งงานเสมอ
ใช่แล้ว เราอ่านมา ดูเหมือนสตาลินน่าจะมีชีวิตที่โลกสวยในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่อีกมุมหนึ่ง เขากลับชื่นชอบในการเล่นและกีฬาแบบตะลุมบอนซึ่งเป็นการละเล่นพื้นเมือง ฟังๆดูแล้ว สตาลินก็เหมือนคนหลายบุคลิก?
สำหรับกีฬานี้ เป็นการแบ่งสองทีม โดยการเข้าตะลุมบอนกันแบบไม่มีความปรานี สตาลินขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มได้ทั้งที่อายุน้อยและแข็งแกร่งน้อยกว่าลูกน้องในทีมของตัวเอง 3 คน ที่เป็นเพื่อนสนิท ที่สตาลินเรียกว่า "สามทหารเสือ" อีกด้วย
แต่แล้วโชคชะตากลั่นแกล้ง การร้องเพลงได้นำพาเขามาซึ่งความโชคร้าย เมื่อวันหนึ่ง ในวันคริสต์มาสอีฟ ของนิกายออโธดอกซ์ กลุ่มนักร้องประสานเสียงของโรงเรียนสามเณรกอรี่
โดยหนึ่งในนั้นมีสตาลินรวมอยู่ด้วย ได้มายืนร้องเพลงสวดที่ริมสะพานข้ามแม่น้ำคูร์ ก็ได้เกิดอุบัติเหตุมีรถม้าวื่งพุ่งเข้าชนกลุ่มนักร้องประสานเสียง ซึ่งสตาลินโชคร้ายที่ม้าได้ชนสตาลินและล้อรถทับข้อมือซ้ายของเขาหัก และด้วยความยากจนทำให้มารดาของสตาลินไม่สามารถพาเขาไปรักษาข้อมือซ้ายได้ เขามือซ้ายของเขาจึงพิการตั้งแต่นั้นมา
และในปี พ.ศ.2437 (1894) สตาลินก็จบการศึกษาด้วยคะแนนยอดเยี่ยม และได้รับทุนศึกษาต่อที่วิทยาลัยสงฆ์แห่งทิฟลิส ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา
เติบโตสูงสุด
สตาลินปฏิเสธความต้องการของมารดาที่ต้องการให้บวชเป็นพระ เขามีความทะเยอทะยานมากกว่านั้น ดังที่ในวัยเด็กเขาฉายแววความเป็นนักปฏิวัติมาตั้งแต่อายุ 15 ปี
หลังจบการศึกษา เขาได้เข้าร่วมกลุ่มกับชาวรัสเซีย ที่นิยมลัทธิ “มาร์คซิส” และเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ
จนปี พ.ศ.2439 สตาลินได้เข้าเป็นสมาชิกของพรรค “Social Democratic Labour Party”
ต่อมาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2448 เขาได้รับเลือกโดยชาวคณะบอลเชวิค ให้เป็นผู้แทนของกลุ่ม ในการไปประชุมใหญ่ ณ เมือง เท็มเมอร์ฟอร์ช ในฟินแลนด์
ที่นั่นทำให้เขาได้พบกับ หัวหน้าพรรค “บอลเชวิค” (Bolshevik) วลาดิมิร์ เลนิน ผู้เปรียบเสมือนปรมาจารย์ทางการเมืองของเขา ในที่สุดสตาลินเริ่มมีบทบาทสำคัญในพรรคบอลเชวิค
วลาดิมิร์ เลนิน
หลังจากที่พรรคบอลเชวิคทำการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงได้ ซึ่งหมายถึง เหตุการณ์ปฏิวัติรัสเซียช่วงปี พ.ศ. 2460 ซึ่งทำลายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และนำไปสู่การก่อตั้งสหภาพโซเวียต สตาลินก็ได้รับตำแหน่งคอมมิสซาร์ประชาชนเพื่อกิจการชนชาติต่างๆ
จนเมื่อเลนินล้มป่วย สตาลินก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นไปอีก จนได้เป็นเลขาธิการพรรคใน 2465 (ค.ศ. 1922) จนกระทั่งเมื่อเลนินเสียชีวิตในปี 2467 (ค.ศ. 1924) ก็ได้เกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างสตาลินกับลีออน ทรอตสกี สุดท้ายสตาลินก็ชนะ จึงได้เป็นผู้นำต่อจากเลนิน
บทส่งท้ายที่ข้างกำแพง
ที่สุด เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 สตาลินได้มีการทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับพรรคนาซีเยอรมนี ทำให้เกิดการแบ่งแยกอำนาจในยุโรปตะวันออก
เวลานั้น เขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง และน่าสนใจที่จากนักเรียนที่โตมากับพระ แต่ศาสนาได้กลับกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกสตาลินลบล้าง
ทั้งยัง นำเอาสมบัติเก่าๆ อันล้ำค่าของประเทศ ขายให้แก่พิพิธภัณฑ์ต่างชาติมากมาย แม้แต่ศิลปทางศาสนา ก็ถูกสตาลินยึดไปขายเสียสิ้น จากนั้นใช้วิธีบังคับ รีดไถเงินจากราษฏร
และเขายังนำระบบ “คอมมูน” มาใช้ คือทุกคนถูกห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างรวมทั้งตัวบุคคลเป็นของพรรคหรือคอมมูน
ใครที่ทำการต่อต้าน จะถูกส่งไปค่ายกักกัน ข้อมูลระบุ คาดการณ์ว่าช่วงนั้นมีผู้เสียชีวิตราว 10 ล้านคน แม้จะไม่มีการสำรวจประชากรว่าระหว่างเขาเป็นผู้นำประชากรโซเวียตเสียชีวิตไปเท่าไรในช่วงที่มีการปฏิวัติระบบนารวม
โดยสตาลินได้ประกาศ คำขวัญว่า “จงทำลายชนชั้นคูลักให้หมดไป” ซึ่ง “คูลัก” คือ “พวกชาวนา ที่คอมมิวนิสต์ถือว่ามีฐานะดี มีที่นาเป็นของตนเอง แม้จะแปลงเล็กๆ แต่ก็ถือว่าร่ำรวยเสียแล้ว
ว่ากันว่า สตาลินโหดร้ายจนลูกสาวของตนเอง ยังต้องหนีไปอยู่สหรัฐอเมริกา เพราะทนอยู่ภายใต้ระบอบการปกครอง ของคอมมิวนิสต์ไม่ไหว
หรือแม้แต่ลูกชายของเขา ยังต้องไปสิ้นใจในค่ายกักกัน ด้วยความช้ำใจจากผู้เป็นพ่อ ( "วันนี้ในอดีต" จักนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปเร็วๆ นี้)
ภาพที่ถูกระบุว่าเป็นจุดจบของบุตรชายของสตาลิน
ช่วงปี 2484 นาซีเยอรมนี โดยฮิตเลอร์ก็ฉีกสัญญาใจที่ว่าจะแบ่งกันใหญ่คนละซีก แต่กลับทำสงครามกับสตาลิน แต่สตาลินก็ต้านกองทัพนาซีไว้ได้ แถมยังเข้าทำการโจมตีและยึดกรุงเบอร์ลินเมืองหลวงของเยอรมนีได้สำเร็จ
อย่างไรก็ดี ผลงานของสตาลิน แม้จะมีประสิทธิภาพ แต่ประชาชนของเขาเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน!! นับเป็นจำนวนมหาศาล
แน่นอนหลังจากนั้น สตาลินก็ได้พัฒนาประเทศให้เจริญเป็นอย่างมาก และนำสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นสู่เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกปกครองแบบคอมมิวนิสต์
แต่วันหนึ่ง สตาลิก็หนีความตายไปไม่พ้น เขาเสียชีวิตในปี 2496 ว่ากันว่าการตายของเขาไม่่มีข้อมูลแน่ชัด นอกจากสันนิษฐานกันว่า เขาด้วยหัวใจล้มเหลว บางแหล่งระบุว่าเขาเป็นอัมพาต ก่อนจะเสียชีวิต บ้างะบุว่าเขามีอาการทางจิต เช่น คลุ้มคลั่ง หวาดระแวง
บางแหล่งระบุว่า เขามีโรคประจำตัว คือ หลอดเลือดแดงแข็งเพราะสูบบุหรี่จัด สุดท้ายก็มาตายด้วยโรคหัวใจ
แต่ที่พีคคือ เมื่อ นีกีตา ครุชชอฟ ผู้นำคนใหม่ขึ้นแทน เขายังประณามขุดคุ้ยความโหดร้ายของเจ้านายคนเก่าของเขาอีกด้วย
ถึงขนาดไล่ทุบทำลายรูปปั้นสตาลินทุกแห่ง ลบชื่อออกจากเพลงชาติ แถมยังย้ายศพของเขาจากข้าง ๆ เลนิน ไปฝังอยู่ในกำแพงวังเครมลินนั่นเอง!
***********************