วันนี้ในอดีต

25 พ.ย.2559 ปิดตำนานผู้นำโลกสะท้าน

25 พ.ย.2559 ปิดตำนานผู้นำโลกสะท้าน

25 พ.ย. 2562

วันนี้เมื่อ 3 ปีก่อน คือวันที่ผู้นำที่โลกไม่เคยลืม อย่าง ฟิเดล กัสโตร ได้ลาโลกจากไป

 

 

*************************

 

บางคนอาจรู้สึกเหลือเชื่อที่นักการเมืองระดับลุยมาแล้วทุกรูปแบบ สามารถมีชีวิตอยู่ยางยืนยาวจนสิ้นลมลงด้วยโรคชรา

 

เขาคือ "ฟิเดล อาเลฮันโดร กัสโตร รุซ" หรือ ที่เราเรียกเขาว่า ฟิเดล กัสโตร หรือ ฟิเดล คาสโตร นักปฏิวัติและนักการเมืองคิวบา ผู้ซึ่งมีแนวคิดทางการเมืองแบบมากซ์-เลนิน ที่ภายใต้การปกครองประเทศของเขา ท้องฟ้าแห่งสาธารณรัฐคิวบาได้เปลี่ยนสีเป็น "รัฐสังคมนิยมพรรคการเมืองเดียว" ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเป็นอันมาก

 

และวันนี้เมื่อ 3 ปีก่อน หรือวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 ฟิเดล กัสโตร เสียชีวิตลงด้วยวัย  90 ปี!

 

 

ประวัติช่วงต้น

 

ฟิเดล เกิดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2469 ว่ากันว่าเขาเกิดในไร่อ้อยที่หมู่บ้านบีราน ใกล้เมืองมายารี ปัจจุบันคือจังหวัดโอลกิง ประเทศคิวบา (ยุคที่ฟิเดลเกิดเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดโอเรียนเต)

 

สำหรับบิดาและมารดาของฟิเดลนั้น ประวัติเล่าว่า เดิมทีนั้น บิดาของฟิเดลว่าเขามีเชื้อสายสเปน แต่ได้อพยพเข้ามาสร้างเนื้อสร้างตัวในคิวบา และเป็นเพียงกรรมกรในโรงงานน้ำตาล แต่ด้วยความสู้งาน ก็สามารถถีบตัวเองจนพลิกกลับมาร่ำรวยได้

 

 

25 พ.ย.2559 ปิดตำนานผู้นำโลกสะท้าน

 

 

ส่วนมารดาของฟิเดลนั้น ก็เป็นเพียงคนใช้ในบ้านของบิดา ภายหลังได้เสียกันจนฟิเดลถือกำเนิดออกมา จึงได้ชื่อว่าเป็นบุตรนอกกฎหมาย เพราะฝ่ายบิดานั้นมีแผนที่กำลังจะแต่งงานกับสตรีอีกคนหนึ่งอยู่แล้ว

 

เหตุนี้ทำให้วัยเยาว์ ของฟิเดลอยู่ในสภาพของเด็กที่เหมือนขาดพ่อ โดยมารดาได้พาเขาย้ายออกจาก “บ้านใหญ่” แล้วนำไปฝากในสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้าที่ขาดพ่อและแม่

 

เวลานั้นฟิเดล ได้ใช้ชื่อในวัยเด็กแค่สั้นๆ ว่า “Fidel Ruz” คือใช้นามสกุลของฝ่ายมารดา 

 

หากชะตาฟ้าลิขิต บิดาได้หวนกลับมาดูแลพวกเขาสองแม่ลูกอีกครั้ง โดยจบความสัมพันธ์กับสตรีที่ได้วางตัวไว้

 

หลังจากนั้น ชีวิตฟิเดลก็เปลี่ยนไป โดยช่วงวัย 17 ปี เขาสามารถใช้นามสกุลคาสโตรของฝ่ายพ่อมานำหน้านามสกุลรุซของฝ่ายแม่ได้ แถมบิดายังตั้งชื่อรองให้เป็นขวัญหรือสิริมงคลอีกหนึ่งชื่อ นั่นคือ Alejandro หรือคำว่า อเล็กซานเดอร์ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายอย่างมาก 

 

ในชีวิตส่วนตัว ฟิเดลมีภรรยา 2 คน คือ มีร์ตา เดียซ บาลาร์ต อยู่กินกันช่วงปี 2491-2498 และ ดาเลีย โซโต เดล บาเย ช่วงปี 2523-2559 

 

 

ย่างก้าวชีวิตวัยหนุ่ม

 

กระนั้นก็ดี ดูเหมือนปมเรื่องพ่อกับแม่ จะเป็นแรงผลักดันอย่างดีให้เขาเลือกเรียนกฎหมายในเวลาต่อมา ในประวัติเขาเคยเล่าว่า ที่เลือกเรียนนิติศาสตร์ เหตุเพราะต้องการต่อสู้และลบปมที่กฎหมายกีดกันการใช้นามสกุลบิดาให้แก่ผู้ที่เป็นลูกนอกสมรส

 

ฟิเดลเรียนกฎหมายที่ มหาวิทยาลัยฮาบานา ซึ่งที่นั่นเองที่เป็นจุดเปลี่ยนอีกก้าวย่างของเขา โดยเขาได้ไปข้องเกี่ยวกับการเมืองต่อต้านจักรวรรดินิยมฝ่ายซ้าย

 

ภายหลังได้เข้าร่วมกับกบฏติดอาวุธต่อสู้รัฐบาลฝ่ายขวาในสาธารณรัฐโดมินิกัน และโคลอมเบีย จนสามารถล้มประธานาธิบดีคิวบา "ฟุลเฮนซิโอ บาติสตา" ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐอเมริกา และถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้เผด็จการ

 

 

25 พ.ย.2559 ปิดตำนานผู้นำโลกสะท้าน

ฟุลเฮนซิโอ บาติสตา

 

 

 

โดยก่อนหน้านั้น เขานำการโจมตีติดอาวุธค่ายทหารมอนคาดาที่ล้มเหลวในปี 2496 ถูกจำคุกหนึ่งปี จากนั้น เขาเดินทางไปยังเม็กซิโก ด้วยความช่วยเหลือของ "ราอุล กัสโตร" น้องชาย และ "เช เกบารา" เพื่อนรัก

 

ต่อมาเขารวบรวมกลุ่มนักปฏิวัติชาวคิวบาเป็นขบวนการ 26 กรกฎาคม หลังกลับมายังคิวบาพร้อมกับขบวนการดังกล่าว เขามีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติคิวบา โดยนำสงครามกองโจรต่อกองทัพของบาติสตาอย่างได้ผล และบาติสตาเองต้องลี้ภัยออกนอกประเทศในปี 2502 โดยมี ออสวาลโด ดอร์ติคอส ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคิวบาต่อมา

 

 

 

ก้าวสู่รัฐบาล

 

 

และแน่นอนในปีนั้น ฟิเดลก็ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวัยเพียง 32 ปี ในปี 2502 ว่ากันว่าเขาได้เคยประกาศลักษณะสังคมนิยมของการปฏิวัติคิวบา  และเคยพูดว่า “ถ้าไม่สังคมนิยม ก็จงตาย” 

 

แน่นอนการพัวพันในการล้มบาติสตา และการต้องสงสัยความสัมพันธ์กับผู้นำโซเวียต นิกิตา ครุสชอฟ ทำให้สหรัฐอเมริกาได้จับตามองรัฐบาลคิวบา และความเคลื่อนไหวของเขาเป็นอันมาก

 

เช่นส่งซีไอเอเข้ามารุกรานอ่าวหมู (พิกส์) ในปี 2504 เพื่อล้มรัฐบาลของเขา แต่ล้มเหลว ก่อนเดินหน้าบงการความพยายามลอบสังหารเขาซ้ำอีกและปิดกั้นทางเศรษฐกิจต่อคิวบา

 

สิ่งนี้ทำให้ ฟิเดล กัสโตร เดินหน้าสร้างพันธมิตรกับสหภาพโซเวียตเข้าจริงๆ โดยอนุญาตให้โซเวียตเก็บอาวุธนิวเคลียร์บนเกาะได้ เรื่องนี้ได้นำไปสู่เหตุการณ์วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในปี 2505  ที่สำคัญ ฟิเดลได้รับเอาลัทธิมากซ์-เลนิน มาเป็นอุดมการณ์ชี้นำของตนเอง 

 

 

25 พ.ย.2559 ปิดตำนานผู้นำโลกสะท้าน

ภาพอ้างอิงจากซีไอเอแสดงขีบนาวุธโซเวียตR-12 Dvina (ชื่อเรียกในนาโต SS-4) ในพิธีสวนสนามที่ จัตุรัสแดง, มอสโก ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1962 (วิกิพีเดีย)

 

 

ต่อมาในปี 2508 เขาได้เป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ขณะที่พรรคการเมืองอื่นถูกยุบ จากนั้น เขานำการเปลี่ยนแปลงคิวบาสู่สาธารณรัฐสังคมนิยม ยึดอุตสาหกรรมไปเป็นของรัฐและนำสาธารณสุขถ้วนหน้าและการศึกษาแบบให้เปล่า

 

เช่นเดียวกับปราบปรามการต่อต้านภายใน กัสโตรเป็นผู้สนับสนุนหลักการร่วมมือระหว่างประเทศที่กระตือรือร้น เขาได้ริเริ่มคณะแพทย์คิวบาผู้ซึ่งทำงานทั่วโลกกำลังพัฒนา และช่วยเหลือกลุ่มสังคมนิยมปฏิวัติต่างประเทศหลายกลุ่มด้วยหวังว่าจะโค่นทุนนิยมโลก

 

ชีวิตช่วงหลัง

 

ต่อมาในปี 2519 กัสโตรในวัย  50 เขากลายมาเป็นประธานสภาแห่งรัฐ (ประธานาธิบดี) เช่นเดียวกับสภารัฐมนตรี ในเวทีระหว่างประเทศ เขาถือตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดนับจากปีนั้น ถึงปี 2526

 

หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตพันธมิตรหลัก ในปี 2534 กัสโตรได้นำคิวบาเข้าสู่ "ระยะพิเศษ" ทางเศรษฐกิจ จากนั้นก่อนนำพาคิวบาเข้าสู่พันธมิตรโบลิเวียเพื่ออเมริกาในปี 2549 และสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการเมืองกับชาติอื่นในลาตินอเมริกา ซึ่งเรียกว่า "สายสัมพันธ์ชมพู"

 

 

 

25 พ.ย.2559 ปิดตำนานผู้นำโลกสะท้าน

 

 

 

แต่ด้วยสุขภาพที่ย่ำแย่ลง ในปีเดียวกันนั้น กัสโตรถ่ายโอนความรับผิดชอบไปยังรองประธานาธิบดี ราอุล กัสโตร น้องชายของเขาเอง และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเมื่อฟิเดลลงจากตำแหน่งในปี  2551

 

ที่สุดกัสโตรก็จากไป 8 ปีหลังจากนั้น แต่เรื่องราวของเขา ไม่เคยจางหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์โลก ว่าเขาเป็นบุคคลโลกที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งและความเห็นแตกต่างกันอย่างสูง

 

ขณะที่ผู้สนับสนุนเขายกย่องว่าเป็นตัวแทนของการต่อต้านจักรวรรดินิยม มีมนุษยธรรมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและคนยากจนทั่วโลก แต่นักวิจารณ์เขาได้กล่าวหาว่าเป็นผู้เผด็จการซึ่งการปกครองประเทศแบบเอกาธิปไตยได้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นหลายครั้ง

 

 

 

25 พ.ย.2559 ปิดตำนานผู้นำโลกสะท้าน

ฟิเดล กับ เช

 

 

ขณะที่มุมหนึ่ง ก็มีคนนำเขาไปเปรียบเทียบกับเพื่อนรักที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขามาตลอด อย่าง เช เกบาร่า ว่าคาสโตรมีทั้งดีและแย่ แต่เช นั้นคือ วีรบุรุษตัวจริง 

 

 บ้างก็แย้งว่า คนที่ทำงานต่อมาจนถึงวัย 90 อย่าง "ฟิเดล" กับคนที่ถูกปิดแฟ้มตั้งแต่ยังหนุ่ม อย่าง "เช" ผู้ที่ยังมีไฟ และแรงแห่งฝัน ความจำได้หมายรู้ของผู้คนย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว

 

 

****************************