คอลัมน์... อ๊อด เทอร์โบ..ดับเครื่องชน [email protected]
พสกนิกรชาวไทยทั้งปวงปลื้มปิติที่ ‘สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง’ ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ ทรงสดชื่นแจ่มใสกว่าหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการส่วนพระองค์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
บรรดาสื่อมวลชนทุกสำนักต่างรายงานภาพข่าวอันอบอุ่นนี้เป็นข่าวใหญ่ในวันรุ่งขึ้น และบรรดาคนไทยต่างร่วมทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลด้วย
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ เป็นที่พึ่งพาทางจิตใจของพสกนิกรตลอดไป
อ๊อด เทอร์โบ
สิ่งควรทำ-ข้อห้าม
เพื่อช่วยกันดูแลลูก
สภาพเศรษฐกิจสังคมไทยทุกวันนี้บีบรัดทำให้ครอบครัวล่มสลาย ชีวิตสมรสหย่าร้างกันมากมาย และมีแนวโน้มสูงขึ้น
‘อ๊อด เทอร์โบ’ ขอเป็นสื่อกลางนำข้อแนะนำและข้อมูลที่เป็นประโยชน์จาก ‘พญ.กรองกาญจน์ แก้วชัง’ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ รพ.จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ มาแจ้งให้ทราบ เพื่อจะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป
ขอให้ยึดข้อปฏิบัติและข้อละเว้นเพื่อความสุขที่จะเกิดขึ้นได้และทางที่ดีที่สุดควรทำให้ชีวิตสมบูรณ์แบบ
อย่าให้การหย่าร้างหรือครอบครัวล่มสลายเกิดขึ้นกับใครเลย
อ๊อด เทอร์โบ
ปัญหาอย่าร้างเพิ่มขึ้น
กทม.มาอันดับแรก
ปัญหาการหย่าร้างของครอบครัวไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สถิติของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในปี 2547 มีอัตราการหย่าร้างร้อยละ 24 โดยมีผู้จดทะเบียนสมรส 365,721 คู่ จดทะเบียนหย่า 86,982 คู่
ล่าสุดในปี 2560 อัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 41 มีผู้จดทะเบียนสมรส 297,501 คู่ หย่า 121,617 คู่ เฉลี่ยหย่าวันละ 333 คู่ จังหวัดที่มีจำนวนหย่าร้างสูงที่สุดในปี 2560 อันดับ 1 คือ กทม. 16,187 คู่ รองลงมาคือชลบุรี 6,476 คู่ และนครราชสีมา 4,572 คู่
สาเหตุของการหย่าร้างในปัจจุบันนี้ อาจเนื่องมาจากลักษณะของครอบครัวยุคใหม่เป็นครอบครัวเดี่ยว คืออยู่กันเฉพาะพ่อแม่ลูก ทำให้มีความเปราะบาง และจากแรงกดดันภายนอก สามีภรรยาใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำงานนอกบ้าน อาจเกิดความเครียดทั้งจากหน้าที่การงาน สภาวะสังคมและเศรษฐกิจเช่นภาระหนี้สินต่างๆ ทำให้ต้องทำงานหนักมากขึ้น ขณะเดียวกันความอดทนต่อปัญหาในครอบครัวอาจน้อยลง เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีงานทำมีรายได้
หย่าร้าง เป็นการสิ้นสุดอย่างหนึ่งของชีวิตสมรส เกิดขึ้นได้ทั่วไป ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือเป็นความผิดของใคร ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออารมณ์จิตใจทำนองการสูญเสีย ผู้ที่หย่าร้างใหม่ๆ จะมีความรู้สึกคล้ายๆ กับการสูญเสียอะไรบางอย่างที่เคยอยู่ใกล้ใจ หากเป็นครอบครัวที่มีลูกด้วยกันการหย่าร้างจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตการเป็นผู้นำทั้งพ่อทั้งแม่ในคนคนเดียวกัน หรือที่เรียกว่าพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว
แม้ว่าชีวิตสมรสจะสิ้นสุด แต่ความเป็นครอบครัวของลูกต้องไม่สิ้นสุดหรือสลายตามไปด้วย ทั้ง 2 คนยังคงต้องทำบทบาทพ่อและแม่ของลูกตลอดไป ไม่ว่าลูกจะอยู่กับฝ่ายใดก็ตาม เพื่อลดปัญหาและผลกระทบต่อจิตใจลูกที่อาจตามมาในภายหลังให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะปฏิกิริยาสูญเสีย เช่นเด็กอาจว้าวุ่นใจ ก้าวร้าว หงุดหงิด ซึมเศร้า ผลการเรียนตกต่ำ เป็นต้น สำหรับผู้ใกล้ชิดกับคู่หย่าร้างก็ต้องช่วยกันให้กำลังใจ ไม่ควรพูดแสดงความเสียใจ หรือแสดงความยินดี เพราะอาจเป็นการสะกิดแผลในใจ
สิ่งที่พ่อแม่ควรทำหลังหย่าร้างมี 4 ประการ ไม่ว่าเด็กจะอยู่กับใครก็ตาม ได้แก่ 1.ต้องให้ความมั่นใจแก่เด็กว่าการที่พ่อแม่แยกทางกันไม่ใช่มีสาเหตุมาจากลูกและยังคงรักลูกเหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เนื่องจากเด็กมีระบบความคิดที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ มักจะเข้าใจว่าตนเองเป็นสาเหตุทำให้พ่อแม่แยกทางกัน เช่นดื้อ เรียนไม่ดี 2.บอกความจริงแก่เด็ก เป้าหมายสำคัญคือการให้ความมั่นใจอนาคต จะทำให้การปรับตัวของเด็กในระยะยาวดีกว่าการปิดบังเด็กซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง หรือคิดว่าตนเองเป็นคนผิด ทำให้มีปัญหาการปรับตัว
3.พยายามรักษาสภาพความเป็นอยู่ให้ใกล้เคียงกับชีวิตเดิมของลูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ 4.ปฏิบัติต่อเด็กด้วยความรักความใส่ใจเหมือนเดิม ทั้งหมดนี้จะทำให้เด็กใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามวัย ไม่เกิดบาดแผลทางใจหรือปมในใจติดตัวไปตลอดชีวิต
พ่อหรือแม่ไม่ควรทำกับลูกเป็นอย่างยิ่งภายหลังหย่าร้าง มี 4 ประการคือ 1.การด่าหรือเล่าความไม่เอาไหนของอีกฝ่ายหนึ่งให้ลูกฟัง ซึ่งมักจะเกิดจากพ่อหรือแม่มีความเจ็บปวด ทนทุกข์กับการกระทำของอีกฝ่าย จะเป็นการสร้างความเกลียดชังเกิดขึ้นในใจของเด็กและทุกข์ทรมานใจไปตลอดชีวิต พ่อแม่ควรระบายความโกรธ ความอึดอัดคับข้องใจกับญาติหรือเพื่อนสนิทแทน
2.การดึงลูกให้เข้ามาเป็นพวกกับฝ่ายของตน เช่นบางคนกีดกัน แสดงความไม่พอใจเมื่อลูกไปคุยกับอีกฝ่าย บางคนพูดให้ลูกรู้สึกผิด เช่นถ้าลูกไปคุยกับพ่อ แปลว่าลูกไม่รักแม่ เป็นต้น 3.การใช้ลูกเป็นสื่อกลาง ส่งสารระหว่างพ่อกับแม่ที่ไม่พูดกัน 4.บังคับให้เด็กเลือกว่าจะอยู่กับใคร จะทำให้เด็กรู้สึกผิดอย่างมากกับฝ่ายที่เขาไม่ได้เลือก รู้สึกเสียใจ และกลัวพ่อแม่จะเลิกรักเขา
หากต้องการรู้ว่าเด็กอยากอยู่กับใครมากกว่ากัน พ่อแม่อาจใช้วิธีการอ้อมๆ คือถามญาติที่สนิทกับเด็กจะดีกว่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง