โฆษกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพชี้ ไกด์เถื่อน กระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
โฆษกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย เผย กลุ่มไกด์ไทย เตรียมเคลื่อนไหว ยื่นหนังสือเรียกร้ิอง จัดตั้ง สภามัคคุเทศก์ ควบคุมดูแลสายอาชีพ ชี้ ปัญหาไกด์เถื่อนกระทบอาชีพถูกกฏหมายอย่างหนัก ชี้ มีช่องทางพาพรรคพวกร่วมทำธุรกิจขนเงินออกนอกประเทศ
เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของ มัคคุเทศก์ และในวันพุร่งนี้ ( 21 มิ.ย.) เป็นวันมัคคุเทศก์ไทย ทางกลุ่มไกด์ไทย รวมใจสู้ จะทำกิจกรรมยื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อเรียกร้อง 3 ประเด็น ได้แก่ 1.ขอให้เร่งผลักดันการปราบปรามชาวต่างชาติผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และขอให้สนับสนุนคนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 2.ขอให้ตรวจสอบกรณีที่สื่อมวลชนตั้งข้อสังเกตเรื่องส่วยท่องเที่ยว และ 3.ขอให้สนับสนุน พ.ร.บ.มัคคุเทศก์ เพื่อจัดตั้งสภามัคคุเทศก์ต่อไป
จากประเด็นดังกล่าว คมชัดลึก ได้สอบถาม นายสายชล ชื่นชู โฆษกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ถึงการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดจากปัญหาอะไรบ้าง นายสายชล กล่าวว่า การเรียกร้องครั้งนี้ เกิดจากปัญหาการเกิดขึ้นของไกด์เถื่อนเป็นจำนวนมาก เกือบ 100 % ในตลาดการท่องเที่ยว โดยมีตลาดการท่องเที่ยวจีน เกาหลี รัสเซีย และเวียดนาม โดย 4 ตลาดการท่องเที่ยวนี้ เรียกได้ว่าโดนกินรวบไป ทั้งนายสายชลกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่อย่าง ตำรวจท่องเที่ยว ที่มีอำนาจบังคับใช้ พ.ร.บ.ธุรกิจท่องเที่ยว และ มัคคุเทศก์ ไม่ดำเนินการจับกุมตามอำนาตจที่มีอยู่ และมีข้อมูลอีกว่า บริษัทนำเที่ยวที่ใช้ไกดเเถื่อนต่างชาติเหล่านี้ ได้แจ้งว่า ได้มีการจ่ายเงินแล้ว และยังระบุด้วยว่าเป็นการจ่ายแบบรายเดือน ซึ่งจ่ายให้กับใคร ก็ไม่ทราบได้
โฆษกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ยังกล่าวอ้างต่อไปว่า จากข้อมูลที่ระบุถึงการจ่ายเงินในข้างต้น แม้จะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า มีการจ่ายรายเดือนให้กับใคร แต่มันส่งผลให้ไม่มีการดำเนินการจับกุมไกด์เถื่อน และความน่าหนักใจกับไกด์ไทย คือ เมื่อกระแสสังคมกดดันไปที่ตำรวจท่องเที่ยว กลับกลายเป็นว่า ไกด์ไทยโดนจับกุมแทน ด้วยข้อหาระดับลหุโทษ หรือ ข้อหาโทษขนาดเบา เช่น แต่งกายไม่เรียบร้อยตาม พ.ร.บ. แขวนบัตรประจำตัวไกด์เข้าด้านใน กลายเป็นการสร้างความขัดแย้ง แต่การเป็นรไกด์เถื่อนนั้น มีความผิดตามพ.ร.บ.หลายฉบับด้วยกัน เช่น พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ร.บ.มัคคุเทศก์ พ.ร.บ.แรงงาน รวมถึง พ.ร.บ.ที่ว่าด้วยอาชีพต้องห้าม
ที่น่าสนใจในประเด็นนี้ ที่ทางนายสายชลได้บอกเล่าเพิ่มเติม นั่นก็คือ นอกเหนือจากการเข้ามาเป็นไกดเเถื่อนแล้ว ยังมีการมาประกอบธุรกิจในลักาณะเป็นผู้ประกอบการเอง ผ่านตัวแทนหรือนอมินี โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบ และนั่นเอง ทำให้ไกด์อาชีพของไทย จึงต้องทำการเดินหน้าผลักดันในเรื่องของ สภามัคคุเทศก์ ให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยนายสายชล บอกเล่าต่อไปว่า ที่ผ่านมา มัคคุเทศก์ ถูกออกระเบียบโดยข้าราชการ แต่ไม่ได้สอดคล้องกับสภาพหรือการท่องเที่ยวที่แท้จริง และการท่องเที่ยวของมนุษย์นั้นมีความหลากหลาย เกิดกว่าตัวอักษร ระเบียบจะควบคุมได้ ดังนั้น จึงมีการมองกันว่า ควรที่จะมีสภามัคคุเทศก์ เพื่อให้คนในสายอาชีพดูแลกันเอง โดยที่จะมีสัดส่วนของฝ่ายต่างๆ ของภาครัฐเข้ามาร่วมในสภาแห่งนี้ด้วย เช่น กรมการท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น
โฆษกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย กล่าวต่อไปอีกว่า สัดส่วนกรรมการของสภาที่นำเสนอนี้ จะมีคนในอาชีพมัคคุเทศก์จำนวนมาก ดังนั้นการกำกับ ดูแล การบังคับใช้ ระเบียบ กฏหมายต่างๆ ก็จะถูกฝั่งถูกฝามากขึ้น
สำหรับประเด็นการไปยื่นหนังสือในข้อเรียกร้องของ กลุ่มไกด์ไทยรวมใจสู้ นั้น ต้องการให้ฝ่ายการเมือง ที่ถือว่าเป็นปากเป็นเสียงของประชาชน ได้รับเรื่องนี้ และนำร่างที่เสนอเข้าสู่กามรพิจารณาของสภา
ต่อคำถามเรื่องการสูญเสียรายได้ที่เกิดจากผลกระทบของไกด์เถื่อนนั้น มีมากน้อยแค่ไหน นายสายชล กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพื่อตัวเลขรายได้ที่เป็นจำนวนเงินของไกด์คนไทยเท่านั้น การท่องเที่ยวของไทยได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องถึง 60 ปีด้วยกัน องคาพยพต่างๆของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเริ่มต้นที่ไกด์ เริ่มต้นจากผู้ช่วยไกด์ เป็นไกด์ ไกด์อาวุโส เป็นผู้จัดการบริษัท และเป็นผุ้ประกอบการ ซึ่งเป็นลำดับการเติบโตของบุคคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คำว่าผุ้ประกอบการ ไม่ได้หมายความแค่เพียงเป็นเจ้าบริษัททัวร์ แต่รวมไปถึงธุรกิจที่แวดล้อมในการท่องเที่ยว เช่นร้านอาหาร ร้านนวด ร้านรถบัสให้เช่า เป็นต้น กมารเติบโตของไกด์เถื่อน ทำให้การเจริญเติบโตของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของไทยหยุดชะงักลงไป และไกด์เถื่อนเหล่านี้ เข้ามาทำงานด้านนี้ ได้เงินก้นำออกนอกประเทศไป ทำจนมีช่องทาง ก็เปิดบริษัท ผ่านนอมินี แล้วก็ไปดึงพรรคพวก มาร่วมกันทำธุรกิจ มาเปิดโรงแรม มาทำร้านอาหาร ร้านนวด แล้วก้นำเม็ดเงินกลับประเทศตัวเองไป โดยที่ประเทศไทยกลายเป็นเพียงแหล่งทำมาหากิน และไดก้รับเม็ดเงินตอบแทนคืนมาน้อยมาก